บทสัมภาษณ์ผู้หญิงไทยที่ย้ายไปอยู่ยังต่างประเทศ ครั้งนี้ผมอยากจะแนะนำให้คุณได้รู้จักกับผู้หญิงไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังประเทศสวีเดน เธอคือคุณ Chutharat และนี่คือ มุมมอง ประสบการณ์ และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตในประเทศสวีเดน
ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จักกับคุณ Chutharat Leijon
ย้ายมาอยู่ประเทศสวีเดน (Sweden)
เมือง: (เมืองหลวง) สต็อกโฮล์ม (Stockholm)
รูปถ่ายทั้งหมดนี้คือผลงานตัวอย่างส่วนหนึ่งของคุณ Chutharat Leijon
เริ่มตั้งแต่แรกเลยคุณมาอยู่ประเทศเทศสวีเดนเพราะอะไร และคุณอาศัยอยู่ที่เมืองอะไรในประเทศเทศสวีเดนครับ
เหตุผลที่ย้ายมาสวีเดนเพราะต้องการอยู่กับสามี ตัดสินใจย้ายหลังจากปีที่ 3 ที่แต่งงาน ที่เพิ่งตัดสินใจย้ายมาเพราะส่วนตัวมีงานประจำทำที่เมืองไทย แล้วรู้ว่าการย้ายมาประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเราต้องเริ่มต้นใหม่ อีกทั้งเรื่องอากาศตอนหน้าหนาว เรื่องอุณหภูมิไม่ได้มีปัญหา แต่ไม่ชอบที่ไม่ค่อยมีแสงแดด แถมสว่างไม่กี่ชม. เพราะเคยมาเที่ยวสวีเดนช่วงหน้าก่อนที่จะแต่งงาน
แต่ช่วง 3 ปีที่เรียกว่า Long distance relationship มันค่อนข้างยากและท้าทายพอสมควร และถึงจุดที่ตัวเราต้องย้ายมาสวีเดนแทน เพราะสามีมีงานที่สวีเดนและเค้าหางานที่ไทยไม่ได้ ส่วนเรามีคนเสนองานที่สวีเดนให้ก่อนย้ายมา
ย้ายมาอยู่ สต็อกโฮล์ม เมืองหลวง แต่คอมมูนที่อาศัยคือ ลีดิงเงอะ Lidingö
ต้องขอบอกว่า สต็อกโฮล์มเป็นเมืองที่ใหญ่พอสมควร มีหลายคอมมูน มันก็มีความแตกต่างกันไปหลากหลายแบบตามแต่พื้นที่นั้นๆ คือมันไม่ได้เป็นเมืองจ๋าๆ ทุกที่ เพราะบางคนเจ้าใจว่าพอเป็นเมืองหลวงคงเหมือนกันหมด เอาเข้าจริงบางที่เดินทางจากในตัวเมือง 1-2 ชม.เลยนะ

คุณเกิดและเติบโตที่ไหนที่ประเทศไทยครับ ช่วยบอกเราได้ไหมครับว่าชีวิตวัยเด็กนั้นเป็นอย่างไรครับ
เป็นคนพื้นเพเกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานีค่ะ
วัยเด็กก็ทั่วๆไป แต่ครอบครัวจะสนับสนุนเรื่องการเรียนมาก ทำให้มีโอกาสย้ายไปเรียนที่ร.ร.จังหวัดอื่นๆ ตามแต่ที่ตัวเองมีความสามารถที่สอบเข้าไปเรียนได้ จบจบปริญญาจากมหาวิทยาลัสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
ส่วนมากเลยโตนอกบ้านซะมากกว่า เพราะออกมาเรียนที่อื่นตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เลยทำให้เราพึ่งพาตัวเองได้และมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง มาคิดๆดูแล้วพ่อแม่เลี้ยงแบบฝรั่ง คือให้อิสระ คิดเอง ทำเองมาโดยตลอด
คุณทำอาชีพอะไรครับ และคุณเคยทำอาชีพอะไรมาบ้างครับตั้งแต่มาอยู่ที่ประเทศสวีเดนครับ / คุณพูดภาษาสวีเดนได้ไหม คุณคิดว่าภาษาสวีเดนยากสำหรับคุณไหมและคุณใช้เวลาเรียนรู้ฝึกฝนนานแค่ไหนกว่าคุณจะพูดภาษาสวีเดนจนเข้าใจและสื่อสารได้ และคุณพูดภาษาอื่นได้อีกไหม
ตอนที่มีโอกาสมาสวีเดนโดยวีซ่าท่องเที่ยว ตอนนั้นฉันมาลงคอร์สเรียน Eyelashextension ตอนนั้นแค่ลงเรียนเพื่อฆ่าเวลาและนั่นกลายมาเป็นอาชีพที่ทำตอนนี้ เป็น eyelash artist เป็นเวลา 2 ปีแล้วตัั้งแต่
ตอนนี้ทำงานเป็น Eyelash Artist ที่ร้าน Finare Fransar สาขา Vasastan หากใครแวะมาสต็อกโฮมสนใจที่จะต่อขนตาสามารถมาใช้บริการได้เลยค่ะ
ตอนแรกที่ย้ายมาเพราะมีโอกาสได้เริ่มงานเลย ทำให้ไม่ได้มีเวลาไปเรียนภาษาสวีเดน และปกติฉันพูดและใช้ภาษาอังกฤษมาตลอดในการทำงานที่เมืองไทย เพราะฉันจบการตลาดและมีโอกาสทำงานและติดต่อกับชาวต่างชาติซะส่วนมาก
พออยู่สวีเดนประมาณเกือบปี เลยหาเวลาไปเรียน SFI นั่นคือหลักสูตร Swedish for immigrants เป็นหลักสูตรเรียนภาษาสวีเดนสำหรับคนต่างชาติที่ย้ายมาอาศัยที่สวีเดน
คนสวีเดนสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเลยทำให้ฉันสื่อสารได้กับพวกเค้าได้โดยไม่มีปัญหา แต่มันก็ทำให้ภาษาสวีเดนของฉันไม่ได้พัฒนาขึ้นมามากเท่าไหร่
สำหรับฉันภาษาสวีเดนยากตรงการออกเสียง การฟังเพราะขนาดคนสวีเดนด้วยกันเองแต่ถ้ามาจากต่างที่สำเนียงของพวกเค้าก็แตกต่างกัน และรูปประโยคที่ต่างจากภาษาอังกฤษเลย แต่ฉันสามารถอ่านและเข้าใจได้มากเพราะมีหลายคำที่เขียนเหมือนภาษาอังกฤษ แค่ออกเสียงต่างกัน
ตอนนี้ฉันยังต้องเรียนอยู่แต่เพราะงานประจำที่ฉันทำมันเลยทำให้ฉันเรียนภาคค่ำซึ่งมันแค่ 1 วันต่ออาทิตย์ใช้เวลาประมาณ 2-2.30 ชม.ต่อครั้ง
ซึ่งฉันคงยังต้องเรียนรู้และต้องใช้ในชีวิตประจำวันให้มากกว่านี้ ถ้าเทียบกับคนอื่นๆที่เค้าไปโรงเรียนเรียนภาษาเต็มเวลา เค้าอาจจะสื่อสารได้เร็วกว่าฉันมาก ตอนนี้ฉันสื่อสารแค่พื้นฐานเท่านั้น พอฉันเริ่มไม่เข้าใจที่คนพูดฉันก็ขอให้เค้าพูดอังกฤษกับฉัน ซึ่งปกติเค้าก็เปลี่ยนมาพูดอังกฤษโดยไม่มีปัญหาอะไร
ในมุมมองของคุณ คุณคิดว่ามันยากไหมสำหรับการที่คนไทยต้องปรับตัวไปใช้ชีวิตแบบคนสวีเดน แล้วถ้ามันยาก มันยากยังไง และอะไรเป็นเรื่องที่ปรับตัวยากที่สุด และเมืองที่คุณย้ายไปอยู่ มีคนไทยอาศัยอยู่มากไหม และคุณคิดว่าคนไทยที่นั่นเขามีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายดีไหม อย่างไร
สำหรับการปรับตัวในการย้ายมาอยู่สวีเดน โดยส่วนตัวไม่ได้ปรับตัวอะไรมากมาย นอกจากเรื่องเสื้อผ้าและการกินวิตามิน Dในหน้าหนาวเวลาไม่ค่อยมีแสงอาทิตย์ เพราะก่อนย้ายอาศัยมาสวีเดนจริงๆ ได้มาลองเที่ยวในฤดูหนาวและฤดูร้อน เพื่อที่จะลองทดสอบกับตัวเองว่าเราชอบสวีเดนมั้ย ผู้คนเค้าเป็นยังไง สภาพอากาศ การเดินทางไปไหนมาไหนหากเราไม่ได้ขับรถเอง
ซึ่งพอย้ายมาอยู่จริงๆ เราก็ใช้ชีวิตปกติธรรมดา ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้แปลกใจเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วอีกทั้งเคยชินกับชาวต่างชาติเพราะบ้านเกิดก็เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเราได้เห็นวัฒนธรรมจากชาติต่างๆ อีกทั้งอาหารการกินสำหรับเรามันง่ายเพราะเรากินอะไรก็ได้ที่อร่อย ไม่ได้กำจัดว่าต้องกินอาหารไทยตลอดเวลา อาจจมีช่วงเดือน พ.ย. กับธ.ค.ที่เวลากลางวันมันสั้นมาก ไม่มีพระอาทิตย์เลยบางวัน อันนี้ถือว่ายากในการจะต้องออกไปทำงาน เพราะมันรู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า ถึงขั้นซึมเศร้าไปเลยก็มีสำหรับบางคน
สำหรับคนอื่นๆ ที่ต้องย้ายมาสวีเดน อยากให้ลองมาเที่ยวก่อน มาเห็นสภาพความเป็นจริง สภาพอากาศ ที่อยู่ที่เราจะย้ายมาอยู่จริง ว่าเรารู้สึกยังไงจะอยู่ได้มั้ย
ไม่ใช่แค่ประเทศสวีเดน รวมไปถึงต่างประเทศทุกที่ด้วย ไม่งั้นมันอาจจะทำให้คุณรู้สึกว่ายากในการปรับตัว
มีคนไทยอาศัยในสต็อกโฮมเยอะนะคะ ถ้าใครย้ายมาที่นี่ไม่ต้องกลัวเรื่องอาหารไทยเลยเพราะมีร้านอาหารไทยเยอะ แถมมีร้านที่เราสามารถซื้อวัตถุดิบ เครื่องปรุง มาทำอาหารไทยเองได้ที่บ้าน แค่ราคามันสูงกว่าเท่านั้นเอง สาวนเรื่องว่าชีวิตความเป็นอยู่จะสุขสบายดีมั้ย อันนี่คงขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าเค้ามาอยู่แล้วเปฺ็นยังไง
แต่โดยรวมที่นี่อากาศดีมาก มีธรรมชาติสมบูรณ์ ทุกพื้นที่จะมีสวนให้เราได้เดินออกกำลัง พักผ่อนหย่อนใจ ที่สำคัญสวีเดนจะมีระบบในการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมดีมากๆ

ลักษณะนิสัยคืออะไรของคนสวีเดน โดยทั่วไปแล้วคนในสวีเดนชอบทำอะไร และคุณบอกผมได้ไหมว่าผู้ชายสวีเดนเป็นอย่างไร(บุคลิกลักษณะ) ผู้หญิงสวีเดนเป็นอย่างไรและครอบครัวของคนสวีเดนเป็นอย่างไร
ลักษณะส่วนใหญ่ของคนสวีเดนคือสุภาพ ไม่ค่อยแสดงออก เก็บอาการ บางคนก็ขี้อาย ต้องทำความรู้จักกันซักระยะนึงถึงจะสนิทกัน จากประสบการณ์ที่เจอส่วนมากพวกเค้าจะชอบคนไทยเพราะเคยไปเที่ยว และนิสัยคนไทยจะยิ้มง่ายและเป็นมิตรกับคนได้ง่าย ไม่เคยเห็นคนสวีเดนตะโกนด่าหรือแสดงนิสัยแย่ตามท้องถนนเลย แต่อาจจะขึ้นมีที่อื่นๆก็เป็นได้ แค่ส่วนตัวมาอาศัยอยู่ 2 ปีไม่เคยเจอเลยค่ะ
คนที่นี่จะชอบเดินหรือวิ่งออกกำลังกายซึ่งจะเห็นทั่วๆไปเลย แม้ขนาดตอนหน้าหนาวเค้าจะออกมาสูดอากาศนอกบ้านกัน บ้างก็จูงสุนัขหรือพาลูกออกมาเล่นกันข้างนอกเวลามีแดด
กิจกรรมที่ขาดไม่ได้เลยคือ Fika เป็นการดื่มกาแฟกับขนมต่างๆ เป็นอะไรที่คนที่นี่ทำกันตลอดเหมือนเป็นการนัดเพื่อนพบปะพูดคุยกัน
ส่วนลักษณะนิสัยทั้งผู้ชายสวีเดนและผู้หญิงที่นี่เท่าที่เห็นโดยทั่วไปคือ เค้าจะเคารพในสิทธิที่เท่าเทียมกัน ไม่ได้มาแบ่งว่าผู้หญิงงานบ้านหรือเลี้ยงลูกต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง เพราะฉะนั้นจะช่วยเหลือกัน ถ้าคุณมาที่นี่แล้วเห็นผู้ชายพร้อมรถเข็นเด็ก หรือใช้เวลากับลูก จะเป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะรัฐบาลมีการสนับสนุนและให้สวัสดิการในการเลี้ยงดูบุตรทั้งพ่อและแม่ สามารถหยุดงานและได้รับเงินเดือนจนถึงลูกอายุขวบครึ่ง และถ้าหากลูกป่วยก็สามารถลางานได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
ซึ่งจากความเท่าเทียมกันนี้ทำให้ผู้หญิงสวีเดนมี independent สูงมาก แต่คุณอาจต้องแปลกใจบ้าง ถ้าผู้ชายจะไม่ลุกขึ้นให้ผู้หญิงนั่งเวลารถบัสหรือรถไฟเต็ม เพราะมันทำให้ทุกคนพึ่งตัวเองซะส่วนใหญ่ เค้าก็ไม่ได้มองว่าผู้หญิงอ่อนแอหรือต้องช่วยเหลือตลอดเวลา
อีกอย่างคนที่นี่จะรักษาระยะห่างกับคนแปลกหน้า ดูเหมือนต่างคนต่างอยู่ซะมากกว่า
ส่วนครอบครัว จะเหมือนคนไทยตรงที่ลูกอาศัยอยู่กับพ่อแม่จนกว่าจะมีความสามารถหาที่อยู่เองได้ ไม่ได้จำกัดอายุว่าเกิน 18 ปีต้องออกย้ายออกจากบ้านเหมือนหลายประเทศในยุโรป อาจเป็นเพราะว่าสต็อกโฮมหาห้องเช่าหรือบ้านเช่ายากมาก ไม่ใช่เฉพาะว่าราคาค่าเช่าแพงแต่มันมีน้อยมากๆ บางคนต้องรอคิว 5-10 ปีก็มีเพื่อที่จะได้เช่าอพาร์ทเม้นท์ห้องนึง
ซึ่งถ้ามีเงินซื้อจะง่ายกว่าเพราะมีขายตลอดแต่ราคาก็สูงมากยิ่งเฉพาะในเมือง
แต่เกินกว่า 70% ก็อยากย้ายออกมาถ้าสามารถหาที่อยู่เองได้
อีกอย่างนึงเรื่องครอบครัว ที่นี่อยู่กินกันซะส่วนใหญ่ ไม่ได้แต่งงาน เพราะที่นี่มีกฎหมายที่เรียกว่า sambo คืออยู่กินกันเฉยๆ

ค่าครองชีพที่สวีเดนเป็นอย่างไร อะไรที่คุณคิดว่ามันแพงเกินไป (3 things) และอะไรที่คุณคิดว่ามันมีคุณค่าเหมาะสมกับราคา (3 things)
ค่าครองชีพในสต็อกโฮมค่อนข้างสูง โดยเฉพาะค่าที่อยู่อาศัย, ผักและผลไม้, อาหารทะเลเพราะนำเข้าซะส่วนใหญ่
กาแฟ, เนื้อสัตว์, วิตามิน ที่ราคาสมเหตุสมผล
บอกข้อดี 3 ข้อของการใช้ชีวิตอยู่ในสวีเดนตามความคิดเห็นของคุณ – บอกข้อเสีย 3 ข้อของการใช้ชีวิตอยู่ในสวีเดนครับ
ข้อดีสำหรับการอยู่สวีเดนในความคิดของฉันคือ ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เค้าจะใส่ใจดูแลรักษา ที่เห็นชัดๆคือ เรื่องขยะ ถ้าเราซื้อเครื่องดื่มเริ่มจำพวกขวดหรือกระป๋องที่สามารถรีไซเคิลได้ ที่ฉลากจะมีราคาของสิ่งนั้นๆเพื่อบอกว่าเราจะได้เงินคืนเท่าไหร่ถ้าเราเอาไปหยอดในเครื่องอัตโนมัติที่คัดแยกสำหรับรีไซเคิล ซึ่งราคาจะบวกค่าขวดหรือกระป๋องตั้งแต่ซื้อเลย จะเห็นว่าทุกระบบมีความเกี่ยวข้องกันเพื่อที่จะกระตุ้นให้คนนำขยะกลับมาเพื่อรีไซเคิล โดยตู้จะมีทั่วไปเกือบทุกซุปเปอร์มาเก็ต
ยกตัวอย่างอีกเรื่อง เค้าจะมีการเก็บเงินเพิ่มหากเราขับรถผ่านสะพานเข้าตัวเมืองในเขตและเวลาที่เค้ากำหนด ซึ่งจะเป็นเวลาจันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลากลางวัน เพื่อเป็นการจำกัดการใช้รถในเมืองช่วยในลดการติดขัดทางจราจรและลดก๊าซที่รถจะปล่อยออกมา
จากที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นในเรื่องการดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อมแบบนี้มันทำให้เรามั่นใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมในสวีเดนว่ามันปลอดภัย อากาศดี ไปที่ไหนเรามีความสุขที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์
ต่อมา สำหรับชีวิตคนรุ่นใหม่จะสะดวกมากในการอาศัยที่นี่ เพราะเรื่องนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยีที่สวีเดนได้ใช้กับระบบต่างๆ
เช่น
-มีเครื่องอัตโนมัติคัดแยกเครื่องดื่ม (ตัวอย่างข้างบน)
-การใช้ applications ในการชำระเงิน จะเรียกได้ว่าสวีเดนเป็นสังคมไร้เงินสดก็ว่าได้ ถามว่าตอนนี้ยังใช้เงินสดได้ แต่ไม่ใช่ทุกที่ที่คุณจะจ่ายด้วยเงินสดได้ แต่ทุกที่สามารถจ่ายด้วยบัตรและ Swish (โอนเงินผ่านเบอร์หรือสแกนบาร์โค้ด)
-ที่จอดรถในเมืองคุณ คุณไม่ต้องเสียเวลาเดินหาตู้จ่ายเงิน แค่เข้า application ลงทะเบียน จ่ายเงินได้เลยทันที
-ระบบขนส่งสาธารณะที่มีทั้งรถไฟบนดิน, ใต้ดิน, เรือ, รถบัส โดยใช้การ์ดเพียงใบเดียว (SL card ใช้เฉพาะในสต็อกโฮม ถ้าเมืองอื่นจะเป็นชื่ออื่น)
เร็วๆนี้จะมีการเปิดซุปเปอร์มาเก็ตโดยที่ไม่มีพนักงานขายเลย ควบคุมโดยกล้องและตัดสต็อกด้วยระบบเท่านั้น
ส่วนข้อเสียสำหรับตัวเองคือจะมีแค่ตอนหน้าหนาวที่กลางวันสั้นมากและแทบจะไม่ค่อยมีแสงแดด กับตอนต้องกวาดหิมะที่รถก่อนที่จะใช้รถ และต้องใส่เสื้อผ้าเยอะชิ้นกันหนาวค่ะ

ในความคิดของคุณอะไรคือปัญหาที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักชาวไทยกับชาวสวีเดน
เท่าที่เคยได้ยินก็จะมีเรื่องการปรับตัวกับวัฒนธรรมและระบบความคิดที่ไม่ตรงกัน
บางคู่ก็เกิดจากฝ่ายหญิงคิดว่าผู้ชายต้องเป็นฝ่ายดูแลเรื่องการเงินและเป็นหลักในการหารายได้เหมือนกับผู้ชายไทย ส่วนฝ่ายหญิงเป็นคนดูแลบ้านและลูก ซึ่งคนสวีเดนเค้าไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะความคิดที่ผู้ชายและผู้หญิงมีความเท่าเทียมกัน เค้าจึงช่วยกันในทุกเรื่อง จุดนี้เลยกลายเป็นปัญหาสำหรับผู้หญิงไทยบางคนที่มาที่นี่เพื่อหวังพึ่งแต่ฝ่ายชายในด้านของการเงิน

ตั้งแต่ที่คุณย้ายจากประเทศไทยมาอยู่ที่ประเทศสวีเดน ครั้งแรกมีวัฒนธรรมหรือการปฏิบัติอย่างใดของชาวสวีเดนบ้างครับที่คุณรู้สึกประหลาดใจ ( cultural shock ) ช่วยบอกผมมาอย่างน้อยสัก3 ข้อ
ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ แรกๆก็มีที่แปลกใจคือ คนที่นี่จะไม่ยุ่งหรือพูดกับคนแปลกหน้าเลย แม้แต่มีคนขอความช่วยเหลือจะไม่มีใครสนใจแค่เดินผ่านไปเฉยๆ เหมือนคนที่นี่จะไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่น
และผู้คนจะเว้นระยะห่างไม่ว่าจะเป็นบนรถบัส ในรถไฟ คือจะไม่มีการมานั่งติดกับเราเด็ดขาด จะพูดได้ว่าที่นี่มี social distance มานานก่อนโควิดจะแพร่ระบาดซะอีก
คนที่จะใจเย็น ทุกที่จะเข้าแถวรอคิวไม่มีการแย่งกัน
อีกอย่างที่เห็นแล้วไม่คิดว่าจะมีที่นี่คือการที่พวกคนยิปซีมานั่งขอทานตามสถานีรถไฟ, บนรถไฟ หรือตามหน้า super market แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่เกิดจากคนสวีเดนแต่ประหลาดใจที่เค้ายังปล่อยให้คนพวกนี้ทำแบบนี้อยู่
สุดท้ายคงเป็นเรื่องการเหยียดคนต่างชาติหรือการปฏิบัติที่ต่างกัน ถึงจะไม่ได้เจอกับตัวเองแต่ที่ทราบจะมีแบบไม่ยอมรับเข้ากลุ่ม จ่ายเงินเดือนให้ต่ำกว่าคนสวีเดนทั้งๆที่ทำงานในตำแหน่งเดียวกัน
ผู้หญิงไทยบางคนคิดว่าการย้ายมาอยู่ยุโรป / สวีเดน จะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น คุณมีคำแนะนำที่จะบอกผู้หญิงไทยที่คิดแบบนี้อย่างไร และคุณมีคำแนะนำอะไรที่จะแนะนำให้พวกเขาต้องระมัดระวังบ้างไหม
ผู้หญิงไทยที่คิดว่าการย้ายมาอยู่สวีเดนหรือต่างประเทศแล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้ทุกคนใช้เวลาเรียนรู้คนที่เราจะย้ายมาอยู่ด้วยว่าเค้ามีนิสัยใจคอยังไง รักคุณจริงๆหรือเปล่า คุณควรคุยกันตั้งแต่แรกเลยว่าคุณต้องการอะไร มีความคิดยังไงในการใช้ชีวิตคู่ ควรมีข้อตกลงกันตั้งแต่แรก อย่าคิดไปเองว่าผู้ชายเค้าต้องรู้เองในสิ่งที่คุณอยากได้ เพราะวัฒนธรรม ธรรมเนียมประเพณีในแต่ละประเทศต่างกัน พอคุยแล้วแต่ละคนจะปรับตัวเข้าหากันได้หรือไม่ ถ้าไม่คุณควรคิดแล้วว่าคุณจะไปต่อหรือเปล่า
อย่าเอาความคิดเดิมๆหรือฟังที่เค้าพูดกันมาว่ามีแฟนฝรั่งแล้วสบาย มันไม่ได้จริงเสมอไป
อย่าผลีผลามที่จะย้ายมาโดยคุณไม่เคยมาดูสภาพความเป็นจริงว่าเค้าอาศัยอยู่ที่ไหน สภาพอากาศเป็นยังไง ที่สำคัญคุณต้องรู้กฎหมายของประเทศที่คุณจะย้ายไป เพราะมันจะมีผลต่อวีซ่าและตัวคุณเองหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถสื่อสารได้ พูดได้แค่ภาษาไทยเท่านั้น เพราะเห็นมาหลายคนแล้วที่มาแล้วผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้นยังพาลูกติดมาด้วยทำให้ต้องอยู่ในสภาวะจำยอม ทำอะไรไม่ได้ ถูกกดขี่ขามเหงก็เยอะเพราะไม่รู้จะหาทางออกได้อย่างไร

ตอนนี้ทำงานเป็น Eyelash Artist ที่ร้าน Finare Fransar สาขา Vasastan หากใครแวะมาสต็อกโฮมสนใจที่จะต่อขนตาสามารถมาใช้บริการได้เลยค่ะ
เพิ่มเติม
ชีวิตหญิงไทยในต่างแดน เฟสบุ๊คเพจ
โปรดลงทะเบียนเพื่อรับThai Women Living Abroad ข่าวสารใหม่อย่างต่อเนื่อง
2 thoughts on “สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อคิดจะย้ายมาอยู่สวีเดน”