บทสัมภาษณ์ผู้หญิงไทยที่ย้ายไปอยู่ยังต่างประเทศ ครั้งนี้ผมอยากจะแนะนำให้คุณได้รู้จักกับผู้หญิงไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังประเทศ สหรัฐอเมริกา เธอคือ คุณ สุธิดา โอเนลล์ และนี่คือ มุมมอง ประสบการณ์ และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกา
ผมอยากจะแนะนำคุณกับ คุณ สุธิดา โอเนลล์ – ชื่อเล่น โบว์
ภาพถ่ายจาก คุณ สุธิดา โอเนลล์
เมือง: ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เริ่มตั้งแต่แรกเลยคุณมาอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพราะอะไร และคุณอาศัยอยู่ที่เมืองอะไรในประเทศสหรัฐอเมริกาครับ
มาอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อมาเรียนภาษาและต่อยอดทางสายงานอาชีพที่สนใจ โดยอาศัยอยู่ที่เมือง Los Angeles รัฐ California ในประเทศ USA
คุณเกิดและเติบโตที่ไหนที่ประเทศไทยครับ ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับว่าชีวิตในวัยเด็กของคุณเป็นอย่างไร
ตัวดิฉันเกิดและโตใน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นเขตชายแดนติดต่อระหว่างพม่าและลาว โดยมีจุดที่เชื่อมต่อกันที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมทองคำ” หรือ “Golden Triangle” ในครอบครัวธรรมดาที่มีพ่อรับราชการครู ในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนและแม่ซึ่งเป็นแม่บ้าน โดยมีน้องสาวร่วมสายเลือดอีก 1 คนซึ่งมีอายุห่างกัน 9 ปีค่ะ
ชีวิตในวัยเด็กก็ค่อนข้างเรียบง่าย เนื่องจากทางบ้านมีฐานะปานกลาง และด้วยหน้าที่การงานของคุณพ่อจึงทำให้มีการย้ายติดตามคุณพ่อไปรับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่และผู้อำนวยการโรงเรียนในต่างอำเภอในระยะเวลาสั้นๆ และกลับมาเรียนที่โรงเรียนบ้านเกิดเหมือนเดิม จำได้ว่าดิฉันเป็นเด็กเรียนดี แต่ไม่สามารถที่จะขอทุนการศึกษาใดๆได้ เนื่องมาจากตำแหน่งของคุณพ่อ อาจารย์มักจะให้สิทธิ์ทุนการศึกษากับนักเรียนคนอื่นๆที่มีความจำเป็นมากกว่าแทน จึงทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากแข่งขันกับใครๆและเจียมตน
ส่งผลมาถึงตอนสมัครสอบเข้าเรียนมหาลัยที่ดิฉันได้โควต้าเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและมหาวิทยาลัยนเรศวร วิยาเขตพะเยา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยพะเยา) ด้วยความที่เป็นคนขี้เกรงใจ กลัวคุณพ่อจะเสียค่าใช้จ่ายในการส่งเสียเล่าเรียนมาก เลยเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเขตพะเยาแทน ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ และเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับสองมา ทำให้คุณพ่อคุณแม่ให้ภูมิในใจตัวลูกสาวคนนี้ จากนั้นได้เข้าไปสมัครทำงานในตำแหน่ง IT Support ในบริษัทแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ เนื่องจากงานที่ต้องมีการใช้อินเตอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา จึงได้มีโอกาสแชทคุยกับชาวต่างชาติเพื่อฝึกภาษาและสังคมบ้าง สามีและพ่อของลูกคนปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
หลังจากทำงานได้ 4 ปี ตอนนั้นอายุ 26 มีความรู้สึกว่างานที่ทำยังไม่มั่นคงพอ บวกกับเราอยากพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม จึงเริ่มปรึกษาคุณพ่อเรื่องไปเรียนต่อที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งคุณพ่อท่านเห็นด้วยและจะช่วยสนับสนุนด้านการเงิน แต่ก็มีปัญหาเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน คือคุณพ่อล้มหมดสติไปในบ้าน พอได้ไปโรงพยาบาล ทุกคนถึงได้ทราบว่าคุณพ่อเป็นมะเร็งตับ ระยะที่ 2 แล้ว ทุกอย่างดับวูบลง แผนที่วางไว้ต้องพักไว้ก่อนแบบไม่มีกำหนด เพื่อที่จะใช้เวลาที่เหลือดูแลคุณพ่อ แต่อนิจจาคุณพ่ออยู่ได้แค่ 3 เดือนก็จากไปอย่างสงบ หลังจากนั้นไม่นานลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนก็ชวนมาเรียนต่อที่อเมริกา ดิฉันเลยเปลี่ยนแผนการยื่นขอวีซ่านักเรียนเพื่อมาเรียนที่เมืองลอสแองเจลลิสแทนค่ะ
ตอนนี้คุณทำอาชีพอะไรครับ และคุณเคยทำอาชีพอะไรมาบ้างครับตั้งแต่มาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อตอนมาอยู่ที่ประเทศอมริกาใหม่ๆ ดิฉันได้ไปเรียนในช่วงเช้า และตอนบ่ายไปทำงานที่ร้านนวดไทยที่เจ้าของใจดีช่วยสอนวิธีการนวดให้ เนื่องจากดิฉันเพิ่งสูญเสียคุณพ่อซึ่งเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายไป ในการมาเรียนที่ต่างประเทศครั้งนี้ ดิฉันจึงต้องดิ้นรนหางานทำเพื่อเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนและการใช้ชีวิตประจำวันในเมืองใหญ่แห่งนี้
อาชีพส่วนใหญ่ของนักเรียนไทยที่มาเรียนที่นี่นิยมที่จะทำกันก็คือ ทำงานในร้านอาหาร เช่น พนักงานเสิร์ฟ หรืองานในครัว หรือไม่ก็งานนวดตามร้านนวดไทยค่ะ
ตอนนี้ดิฉันเป็นแม่บ้านเต็มตัวตั้งแต่ปลายปี 2011 จนถึงปัจจุบัน แต่เนื่องจากลูกชายซึ่งมีอายุเกือบจะ 5 ขวบ จะสามารถเข้าเรียนในระดับอนุบาลได้ในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ เลยเริ่มที่จะออกหางานพาร์ทไทม์ทำในช่วงวันที่สามีหยุด และบังเอิญพอดีกับที่ร้านอาหารไทยมาเปิดใหม่ใกล้บ้าน เลยลองไปสมัครและทดลองทำงานในตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟในวันพุธและอาทิตย์ ส่วนวันศุกร์รับเป็นแนนนี่ (Babysitter) ให้กับลูกของเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย UCSB ค่ะ
คุณพูดภาษาที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไหม คุณคิดว่าภาษาที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกายากสำหรับคุณไหมและคุณใช้เวลาเรียนรู้ฝึกฝนนานแค่ไหนกว่าคุณจะพูดภาษาที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาจนเข้าใจและสื่อสารได้ และคุณพูดภาษาอื่นได้อีกไหมครับ
อเมริกาใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ และในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ดิฉันอาศัยอยู่จะมีภาษารองคือ ภาษาสเปน ดิฉันสามารถพูด ฟัง อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถพูด ฟัง อ่าน เขียนภาษาสเปนได้ค่ะ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่บรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนในประเทศไทย จึงทำให้ดิฉันมีพื้นฐานการใช้ภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง และได้เรียนคำศัพท์ใหม่ๆเพิ่มเติมจากการพูดคุยกับชาวต่างชาติ ในขณะที่ดิฉันใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ดิฉันสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คน องค์กร สถานศึกษา หรือโรงพยาบาลต่างๆได้ด้วยตนเอง แต่ก็ยังมีศัพท์เฉพาะหลายๆคำ โดยเฉพาะศัพท์ทางการแพทย์หรือศัพท์ทางด้านกฎหมายที่ซึ่งดิฉันไม่คุ้นเคยนักค่ะ
ดิฉันสามารถพูด ฟัง อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่ที่ประเทศไทยและมาเพิ่มเติมความรู้และสั่งสมประสบการณ์เพิ่มเติมจากชีวิตประจำวันที่นี่ และดิฉันพูดได้แค่ 2 ภาษา คือภาษาไทยและภาษาอังกฤษค่ะ
ในมุมมองของคุณ คุณคิดว่ามันยากไหมสำหรับการที่คนไทยต้องปรับตัวไปใช้ชีวิตแบบคนอเมริกัน แล้วถ้ามันยาก มันยากยังไง และอะไรเป็นเรื่องที่ปรับตัวยากที่สุด
เนื่องด้วยดิฉันได้มาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกา นั่นคือลอสแองเจลลิส ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นแหล่งรวมของคนชนชาติต่างๆ สังเกตุได้จากป้ายตามมุมถนนต่างๆที่มักจะบ่งบอกถึงกลุ่มชนชาติที่อาศัยอยู่ในแหล่งนั้นๆ เช่น ไทยทาวน์, ไชน่าทาวน์, ลิตเติ้ลโตเกียว, โคเรียนทาวน์, อาเมเนียนทาวน์, ฟิลิปปิโน่ทาวน์ และอื่นๆอีกมากมาย จึงบ่งบอกได้ว่าเมืองนี้เป็นแหล่งรวมของอารยธรรมจากอารยประเทศ ซึ่งสำหรับดิฉันไม่เป็นปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับคนที่นี่เลย อีกทั้งรู้สึกชอบในความสะดวกสบายในด้านต่างๆอีกด้วยค่ะ
ประเทศอเมริกาใช้ระบบวัดแบบอิมพีเรียล (Imperial) ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ระบบวัดแบบแมตริก (Metric) ยกตัวอย่างเช่น มาตราวัดความยาว ที่อเมริกาจะใช้หน่วยวัดเป็น นิ้ว (Inch) ฟุต (Foot) หลา (Yard) ไมล์ (Mile) แทนหน่วยเซนติเมตรและกิโลเมตร มาตราชั่งใช้ออนซ์และปอนด์ (pound) แทนหน่วยกรัมและกิโลกรัม มาตราวัดอุณหภูมิที่ใช้หน่วยฟาเรนไฮท์ (Fahrenheit) แทนการใช้เซลเซียส (Celsius) พวงมาลัยรถในประเทศอเมริกาจะอยู่ในฝั่งซ้ายและขับในเลนส์ขวา ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศไทย ซึ่งความแตกต่างนี้ อาจจะทำให้เกิดความสับสนสำหรับคนที่เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในระยะเริ่มแรก แต่พออยู่ไปนานๆ ก็จะเริ่มปรับตัวและคุ้นเคยกับระบบที่นี่ได้ไม่ยากค่ะ
ที่ที่คุณอยู่มีคนไทยอาศัยอยู่เยอะไหม และพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่สบายดีไหม คุณได้คบกับคนไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่นหรือเปล่าครับ
เมืองลอสแองเจลิสที่ดิฉันมาอาศัยอยู่เป็นเมืองที่มีคนไทยอาศัยอยู่มากที่สุดนอกจากทวีปเอเชีย (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย) มีสถานกงศุลใหญ่ ณ นครลอสแองเจลลิส และได้มีการจัดตั้งไทยทาวน์ขึ้นบนถนนฮอลลีวูด ซึ่งบนถนนนี้เปรียบเสมือนหัวใจหลักของคนไทยในแอลเอ ซึ่งคุณสามารถหาซื้อขนม อาหาร ผัก ผลไม้ วัตถุดิบปรุงอาหารแบบไทยๆ มีร้านอาหารไทยที่ทำรสชาดอาหารออกมาเพื่อลูกค้าคนไทยโดยเฉพาะ และมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำบุญตักบาตรตอนเช้าวันเสาร์ งานสงกรานต์ และอื่นๆอีกมากมาย รวมไปถึงมีวัดไทย ลอสแองเจลลิสและวัดป่าอีกมากมายหลายวัด ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยหรือคนที่นับถือพุธศาสนาที่นี่
ชีวิตการเป็นอยู่ส่วนใหญ่ของคนที่นี่ก็เหมือนกับคนที่ใช้ชีวิตที่ประเทศไทย บางคนก็ใช้ชีวิตไปทำงานเช้า เย็นกลับ หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงตามสถานภาพกันไป หรือสาวไทยหลายๆคนรวมถึงดิฉันเป็นแม่บ้านก็ใช้ชีวิตดูแลครอบครัว ไปออกกำลังกายกันในวันธรรมดา ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ชวนกันไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ทำบุญ ปีนเขา ปาร์ตี้อาหารไทย ร้องคาราโอเกะกันไปตามแต่โอกาสและความเหมาะสมค่ะ
จากตอนแรกที่มาถึง ดิฉันไม่ได้รู้จักเพื่อนคนไทยคนใดมาก่อน จากนั้นไปโรงเรียนก็จะมีเพื่อนเพิ่มขึ้น รวมไปถึงได้มีเพื่อนใหม่จากที่ทำงาน พอเริ่มมีเพื่อนมีสังคมก็เริ่มที่จะมีการชักชวนกันไปวัดไทย รวมถึงชักชวนกันให้รู้จักเพจคนไทยในอเมริกาต่างๆ ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในตัวเชื่อมในการหาเพื่อนคนไทยที่อาศัยอยู่ใกล้คียงกัน มีทัศนคติที่ใกล้เคียงกันมาพบเจอกันค่ะ
อะไรที่คนอเมริกันชอบ และคุณบอกผมได้ไหมว่าผู้ชายอเมริกันเป็นอย่างไร ผู้หญิงอเมริกันเป็นอย่างไร และครอบครัวของคนอเมริกันเป็นอย่างไร
เนื่องจากคนในประเทศนี้มีหลากหลายเชื้อชาติ จึงเป็นการยากที่จะสรุปว่านิสัยของคนประเทศนี้เป็นแบบไหน อย่างไร แต่จากประสบการณ์ที่เห็นได้ชัด คือคนประเทศนี้จะค่อนข้างตรงต่อเวลาและรักษาคำพูด รู้จักการพูดสวัสดี ขอบคุณและขอโทษแบบอัตโนมัติ ไม่ชอบการโดนเอาเปรียบ และสิ่งที่ห้ามพูดถึงเลยคือการเหยียดสีผิว ชนชั้น สูง ต่ำ ดำ ขาว เหลือง อ้วน ผอม เพราะนั่นหมายถึงการเหยียด สามารถฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันได้เลย ห้ามพูดถึงโดยเด็ดขาดนะคะ!!!
สิ่งที่คนอเมริกันชอบเป็นพิเศษคิดว่าน่าจะเป็นกีฬาประจำชาติอย่างอเมริกันฟุตบอล (Football)
ผู้คนที่นี่ค่อนข้างมีความคิดที่เป็นอิสระเสรีไม่ว่าหญิงหรือชาย เวลาเดินสวนทางกันถึงแม้ว่าจะไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่ส่วนใหญ่มักจะทักทาย “สวัสดี คุณสบายดีมั้ย?” ซึ่งถือว่าเป็นมารยาทเบื้องต้นที่น่าเป็นตัวอย่างมากค่ะ
คนประเทศนี้ส่วนใหญ่ชอบใช้ชีวิตครอบครัวเดี่ยวแบบพ่อ แม่ ลูก และส่วนใหญ่ลูกอายุเกิน 18 ปีก็จะออกไปเรียนต่อหรือหางานทำและสร้างครอบครัวของตัวเองต่อไปค่ะ
ค่าครองชีพที่สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร อะไรที่คุณคิดว่ามันแพงเกินไป (3 things) และอะไรที่คุณคิดว่ามันมีคุณค่าเหมาะสมกับราคา (3 things)
อเมริกามี 50 รัฐ แต่ละรัฐก็มีค่าครองชีพที่ต่างกันออกไป สำหรับดิฉันซึ่งอาศัยอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย คิดว่าสิ่งที่มันแพงเกินไปคือ
– ราคาบ้าน เนื่องจากรัฐนี้อากาศค่อนข้างดีตลอดปี ไม่มีหิมะ ติดทะเล และมีเมืองใหญ่ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจหลายเมือง เช่น ลอสแองเจลลิส ซานฟรานซิสโก ซานดิเอโก้ etc. สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาอยู่และทำให้ราคาบ้านหรืออพาร์ทเม้นต์กระโดดขึ้นไปสูงลิ่วอย่างรวดเร็ว
– ระบบประกันสุขภาพ เนื่องจากทุกคนที่นี่จะต้องซื้อประกันสุขภาพของเอกชน มิฉะนั้นก็จะต้องโดนจ่ายค่าปรับตอนยื่นภาษีต้นปี
– ภาษีรัฐ (State tax) ซึ่งรัฐแคลิฟอร์เนียมีการจัดเก็บภาษีกันตามระดับรายได้ ซึ่งสูงสุด 13% ขออนุญาตอธิบายในที่นี้ว่าแต่ละรัฐมีการจัดเก็บภาษีรัฐไม่เท่ากัน และมีหลายๆรัฐที่ไม่มีการจัดเก็บภาษีรัฐเลย
สิ่งที่ดิฉันคิดว่ามันมีคุณค่าเหมาะสมกับราคา คือ
– ราคารถ ซึ่งเมื่อทำการเปรียบเทียบกับราคารถที่ไทย จะเห็นได้ชัดเจนว่าราคารถที่นี่จะราคาต่ำกว่ามาก(หากเทียบกับรุ่นเดียวกัน)
– ราคาน้ำมัน
– อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
บอกข้อดี 3 ข้อของการใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามความคิดเห็นของคุณ – บอกข้อเสีย 3 ข้อของการใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาครับ
ข้อดีคือ
– ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะสูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม หนุ่มหรือแก่ คุณมีสิทธิเหมือนกันทุกประการ
– ด้านความปลอดภัย ดิฉันมีความชื่นชมกับระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศนี้มาก ทั้งตำรวจ (Police Department) ดับเพลิง (Fire Department) รถพยาบาล (Ambulance Service) ทำงานได้รวดเร็ว ทันใจมาก
– การที่ได้เป็นพลเมืองของประเทศอเมริกา ทำให้ดิฉันสามารถบินไปเที่ยวได้ในหลายๆประเทศโดยที่ไม่ต้องขอวีซ่าให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายค่ะ
ข้อเสียคือ
– ระบบสวัสดิการของประเทศไม่ค่อยดี หากเทียบกับประเทศในยุโรป เช่นระบบประกันสุขภาพ
– ระบบสวัสดิการของรัฐเอื้อให้เฉพาะคนรายได้ต่ำในทุกๆทาง แม้แต่โรงเรียน ซึ่งชนชั้นกลางจึงจำเป็นต้องนำลูกไปเข้าโรงเรียนเอกชนแทน
– ประเทศนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ดิฉันไม่ทราบว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการที่จะสามารถท่องเที่ยวได้ทั่วทั้ง 50 รัฐ
ในมุมมองของคุณ อะไรคือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยและคนอเมริกันในเรื่องของความโรแมนติก
เนื่องจากคนอเมริกันใช้ชีวิตแบบครอบครัวเดี่ยวและมีสวัสดิการยามเกษียณ ซึ่งประเทศไทยไม่มีหรือมีก็ไม่ดีมาก ดังนั้นคนไทยส่วนใหญ่มักจะต้องมีการส่งเสียค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีพระคุณเพื่อช่วยเหลือจุนเจือสำหรับการใช้ชีวิตของบิดามารดาที่ไทย หากฝ่ายสามีหรือภรรยาไม่ได้มีการคุยกันไว้ก่อน อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ในภายหลังค่ะ
คุณยังมีครอบครัวที่ยังคงอาศัยอยู่ที่เมืองไทยหรือไม่ ถ้ามี….คุณคิดถึงครอบครัวของคุณมากไหมและคุณคิดถึงเมืองไทยหรือเปล่าและสถานที่ไหนในประเทศไทยที่คุณชอบไปเที่ยวมาก
เนื่องจากดิฉันออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 18 ออกจากบ้านไปเรียนมหาวิทยาลัย จนปัจจุบันอายุ 33 ปี ค่อนข้างที่จะเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบครอบครัวเดี่ยว แต่แน่นอนว่าดิฉันก็ต้องคิดถึงคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ คือแม่และน้องสาว ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของดิฉันคือ ให้แม่มาเที่ยวที่อเมริกา และดิฉันกลับไปเที่ยวที่เมืองไทย สลับกันไปแบบนี้ ปัจจุบันนี้แม่ก็ยังอยู่อาศัยที่นี่ และจากการที่พูดคุยกัน แม่ของดิฉันค่อนข้างชอบชีวิตความเป็นอยู่ของอเมริกามากกว่าที่ไทย ในอนาคตดิฉันคิดว่าจะขอวีซ่าถาวรเพื่อให้แม่มาอาศัยอยู่ด้วยกันที่อเมริกา
ส่วนทางด้านน้องสาว ปัจจุบันก็ได้แต่งงานและมีครอบครัวของตนเองออกไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง มีการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันผ่าน Facebook และ Line เป็นประจำค่ะ
ยอมรับว่าตอนมาถึงช่วงแรกๆ มีคิดถึงเมืองไทยมากค่ะ เนื่องจากอาหารการกินหาง่าย หิวเมื่อไหร่ก็ออกไปหากินได้ 24 ชม. ถึงแม้ว่าที่แอลเอจะมีร้านอาหารที่เปิด 24 ชม. บ้างเหมือนกันแต่มันก็ยังแตกต่าง
วิธีแก้ปัญหาของดิฉันคือใช้เวลาว่างเรียนรู้จาก Google, Youtube, Facebook และอื่นอีกมากมาย ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่สามารถค้นหาทุกอย่างได้ในเวลาแค่นิ้วมือคลิกค่ะ
สถานที่ในประเทศไทยดิฉันชอบเชียงใหม่เป็นการส่วนตัว เนื่องจากเป็นเมืองที่ได้ใช้ชีวิตอยู่อาศัยหลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยจนลาออกมาศึกษาต่อที่ประเทศอเมริกา จุดที่น่าสนใจที่สุดของเชียงใหม่คือการที่ธรรมชาติและสังคมเมืองรวมตัวกันได้อย่างลงตัว แม่น้ำ ภูเขา กำแพงเมืองเก่า สภาพอากาศ วัฒนธรรมแบบลานนา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีสเน่ห์ดึงดูดใจให้กลับไปเยี่ยมชมค่ะ
คุณเคยรู้สึกไม่ปลอดภัยบ้างไหมขณะที่คุณอาศัยอยู่ในเมืองลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อสมัยเป็นนักเรียนเมื่อปี 2011 หลังจากเรียนเสร็จราวๆ บ่าย 2 โมง ดิฉันได้กลับมาจากโคเรียทาวน์เพื่อเดินไปทำงานต่อที่ไทยทาวน์ ในระหว่างที่เดินๆอยู่นั้น ได้มีคนผิวสีได้เดินตามมาและเร่งฝีเท้าขึ้น ดิฉันรู้สึกตัวและได้หยุดหันไปมอง และผู้ชายคนนั้นก็หยุดเดินและแสร้งมองไปทางอื่น ดิฉันจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินไปใกล้ตลาดไทยเพราะจุดนั้นผู้คนจะพลุกพล่าน ประจวบกับมีรถตำรวจขับผ่านมาพอดีและชะลอใกล้ๆกับชายคนนั้น จากนั้นชายคนนั้นจึงได้เดินเลี้ยวไปทางอื่นแทน ทำให้ดิฉันรอดมาได้อย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณ LAPD ที่ได้มีการขับรถออกตรวจตราอยู่ตลอดเวลาและสม่ำเสมอ
สำหรับการอยู่อาศัยในเมืองใหญ่ คนอยู่กันค่อนข้างหนาแน่น รวมถึงคนไม่มีบ้าน(Homeless) อยู่กันเยอะ ปัญหาอาชญากรรมก็จะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นหากเดินทางไปไหนมาไหนก็ควรที่จะมองหน้ามองหลัง มีสติอยู่กับตัวและระมัดระวังตนเองให้มากที่สุดค่ะ
สถานที่ไหนในสหรัฐอเมริกาที่คุณชอบไปเที่ยวมาก – สหรัฐอเมริกาสวยไหมครับ ลอสแองเจลิสสวยไหมครับ คุณชอบลอสแองเจลิสไหมครับ
ดิฉับชอบไปเที่ยวชายหาดกับลูกชายประจำค่ะ หาดที่ชอบไปก็มี Venice beach, Santa Monica beach หาดที่นี่จะกว้างและยาวมาก ถนนที่เลียบชายหาดมักจะมีโชว์ตามถนน ร้านขายของ ร้านอาหารเยอะมาก ดิฉันและลูกชายมักจะไปเช่าจักรยานแบบมีรถเข็นพ่วงปั่นออกกำลังกายเล่นกันจาก Venice beach ยาวไปถึง Santa Monica Pier และปั่นกลับมาแวะเล่นที่สนามเด็กเล่น หรือไม่ก็จอดดูโชว์หรือแวะหาของทานเล่นกัน ถ้าเริ่มเหนื่อยก็ออกไปเดินชายหาดหรือเล่นน้ำทะเล ทำแบบนี้ได้ทั้งวันและเพลินมากๆเลยค่ะ
อะไรคือสิ่งที่คุณรัก และอะไรคือสิ่งที่คุณชอบทำในยามว่างของคุณ
ยามที่ว่างๆ ดิฉันมักจะเข้าไปดูคลิปการทำอาหารหรือขนมต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ และไปหาซื้อของเพื่อมาลงมือทำ จากชีวิตที่เมืองไทยเป็นผู้หญิงทำงานเต็มตัว ไม่เคยได้ทำอาหารกินเองเพราะหาซื้อได้ง่ายและถูกกว่าก็กลับกลายมาเป็นแม่บ้าน หาดูคลิปหรือบทความต่างๆ รวมถึงการหาแบบฝึกหัดเพื่อนำมาสอนให้กับลูกชายค่ะ
ยามว่างดิฉันมักใช้เวลาไปกับงานอดิเรก เช่น ปลูกผัก ออกกำลังกาย หรือเล่นเฟสบุ๊ค ซึ่งดิฉันเป็นผู้ดูแลอยู่ 4 เพจ โดยเพจเหล่านี้จะเกี่ยวกับการให้ความรู้แบ่งปันประสบการณ์ของคนไทยในต่างแดนและคนไทยในอเมริกาค่ะ
ผู้หญิงไทยบางคนคิดว่าการย้ายมาอยู่ในต่างประเทศ / สหรัฐอเมริกา จะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น คุณมีคำแนะนำที่จะบอกผู้หญิงไทยที่คิดแบบนี้อย่างไร และคุณมีคำแนะนำอะไรที่จะแนะนำให้พวกเขาต้องระมัดระวังบ้างไหม
จากประสบการณ์ที่ได้มาอยู่อาศัยในประเทศอเมริกามา 6 ปีกว่า หัวใจหลักของการมาใช้ชีวิตอยู่อาศัยอยู่ที่นี่เลยก็คือ “ภาษา” ค่ะ เมื่อคุณได้ภาษามาบ้าง ไม่มากก็น้อย หลังจากนั้นก็จะต้องใช้ “ความอดทน” ในการเรียนรู้ ปรับตัว ฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ “อย่าอาย” เมื่อเราฟังไม่เข้าใจ ให้ถามหรือขอให้เค้าพูดอธิบายให้ฟังอีกครั้ง จนแน่ใจว่าเราสื่อสารได้ถูกต้อง เราสามารถ “เรียนรู้”เพิ่มเติมได้จากสื่อทุกๆอย่าง เช่น การดูหนัง ละคร ฟังเพลง อ่านหนังสือ อ่านข่าวหรือบทความเวปไซต์ต่างๆ หรือไปเรียนเพิ่มเติมกับโรงเรียน Adult school
หลังจากนั้นก็ขยับขยายมาเป็นเรื่องการทำใบขับขี่ เพื่อที่จะสามารถใช้ในชีวิตประจำวัน ไปเรียนหรือไปทำงานได้ เมื่อภาษาได้ ขับรถได้ ก็เหมือนช่วยให้เรามีแข้งมีขาสามารถที่จะทำอะไรได้เองโดยที่ไม่ต้องพึ่งสามีตลอดเวลา
อเมริกายังเป็นเมืองแห่งโอกาสเสมอ ถึงจะเข้ามาได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่ายาก ขอแค่ทำทุกอย่างให้ถูกกฎหมาย จ่ายภาษีถูกต้อง ใช้ชีวิตแบบมีคุณภาพ จัดสรรเวลาให้ลงตัว เพียงแค่นี้คุณก็จะมีความสุขได้ไม่ยากเลยค่ะ
โปรดลงทะเบียนเพื่อรับThai Women Living Abroad ข่าวสารใหม่อย่างต่อเนื่อง
6 thoughts on “คนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ:จากเชียงรายสู่ลอสแองเจลิสประเทศสหรัฐอเมริกา”