บทสัมภาษณ์ผู้หญิงไทยที่ย้ายไปอยู่ยังต่างประเทศ ครั้งนี้ผมอยากจะแนะนำให้คุณได้รู้จักกับผู้หญิงไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังประเทศ สก๊อตแลนด์ เธอคือคุณ Sittha และนี่คือ มุมมอง ประสบการณ์ และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตในประเทศ สก๊อตแลนด์
ผมอยากจะแนะนำคุณกับคุณ Sittha
ทุกภาพเครดิต คุณ Sittha
เริ่มตั้งแต่แรกเลยคุณมาอยู่ประเทศ สก็อตแลนด์ เพราะอะไร และคุณอาศัยอยู่ที่เมืองอะไรในประเทศ สก็อตแลนด์ครับ
ตอนนี้ฉันอยู่ที่ประเทศสก๊อตแลนด์ (Scotland) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศในสหราชอาณาจักร (United Kingdom) หรือที่เรียกกันติดปากว่า UK ฉันอาศัยอยู่ที่เมืองเอดินเบิร์ก (Edinburgh) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2003 ค่ะ
ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่เมืองเอดินเบิร์ก ฉันเคยทำงานร้านอาหารไทยที่ประเทศมาลต้า (Malta) ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2000 ในเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 2002 ฉันก็ได้พบรักกับคุณไมเคิล (Michael) ซึ่งเป็นสุภาพบุรุษในฝันที่ฉันมองหามาตั้งนาน เราหมั้นกันในเวลาต่อมา แล้วฉันก็ย้ายมาอยู่ที่เมืองเอดินเบิร์กจนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ
ฉันอยู่ UK เมือง Edinburgh ก่อนหน้านี้ฉันเคยอยู่ ประเทศ Maltaค่ะ

คุณเกิดและเติบโตที่ไหนที่ประเทศไทยครับ ช่วยบอกเราชีวิตนั้นเป็นเด็กเป็นอย่างไรครับ
ฉันเกิดที่บ้านน้อยหนองเค็ม ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ชีวิตก่อนวัยเรียนฉันก็ชอบเล่นซุกซนตามประสาเด็ก พอฉันเริ่มเข้าโรงเรียนประถมศึกษาปี่ที่ 1 แม่ก็เริ่มสอนให้ฉันรู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง โดยการสอนให้ฉันเตรียมกระเป๋าและเสื้อผ้านักเรียนเอง พอฉันทำได้ดีขึ้น แม่ก็ค่อยๆเพิ่มหน้าที่ให้ฉันรับผิดชอบในการหุงข้าวทุกๆเช้า ตอนฉันเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ฉันก็เริ่มซักชุดนักเรียนเอง
ฉันอยู่นครพนมจนฉันเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พ่อกับแม่ก็พาฉันย้ายไปอยู่ที่บ้านค้อ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร หน้าที่รับผิดชอบของฉันก็เพิ่มขึ้นมาอีก ตอนฉันเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ฉันเริ่มรีดชุดนักเรียนเอง ตอนฉันเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ฉันก็เริ่มฝึกทำกับข้าวจานง่ายๆเช่น ไข่เจียว ไข่ดาว ผัดผัก ต้มจืด น้ำพริกผักต้ม ส้มตำ
ฐานะที่บ้านฉันยากจนมากพ่อกับแม่ของฉันทำงานหนักมาก แต่ท่านก็เลี้ยงฉันแบบไม่เคยให้ฉันลำบาก ฉันได้กินอิ่มนอนหลับสบาย ฉันไม่เคยทำงานหนัก ไม่เคยออกไปทำงานกลางแดด ฉันแค่มีหน้าที่อยู่เฝ้าบ้านเวลาที่พ่อกับแม่ออกไปทำงานนอกบ้าน, เรียนหนังสือ, อ่านหนังสือ, หุงข้าว, ซักผ้า, รีดผ้า และ ทำกับข้าว งานบ้านที่ฉันชอบทำก็คือ ทำอาหารและรีดผ้า ฉันไม่ชอบทำความสะอาดมันก็เลยไม่ใช่หน้าที่ของฉัน ไม่น่าเชื่อเลย ปัจจุบันฉันก็ชอบทำอาหารและก็ยังไม่ชอบทำความสะอาด
ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านตามลำพัง ตอนที่พ่อกับแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ฉันจึงมีเวลาให้ตัวเองมากๆและมีอิสระในการบริหารการใช้เวลาของฉันเอง ฉันชอบเรียนหนังสือมากๆตอนอยู่ที่โรงเรียนฉันก็ตั้งใจเรียนและเล่นสนุกสนานกับเพื่อนบ้าง ฉันอยู่กับพ่อแม่จนฉันเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วฉันก็ย้ายไปอยู่กับพี่ชายและครอบครัวที่อำเภอเมืองมุกดาหารและเรียนต่อที่โรงเรียนมุกดาหารจนจบมัธยมศึกษาปี่ที่ 6

ตอนนี้คุณทำอาชีพอะไรที่ประเทศสก๊อตแลนด์เมือง เอดินเบิร์กครับ
พูดถึงเรื่องงานอาจจะยาวหน่อยค่ะ ฉันขอเล่าย้อนความไปเมื่อปี ค.ศ. 1993 ซึ่งเป็นปีที่ฉันเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วฉันได้เริ่มทำงานที่ร้านอาหาร Coffee Shop ในโรงแรม 3 ดาวเล็กๆ ที่ตั้งอยู่แถวถนนรามคำแหง ฉันอยู่ที่กรุงเทพประมาณ 7 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฉันย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ จากโรงแรมเล็กๆ ไปร้านอาหารไทยในโรงแรม 4 ดาว แล้วก็ร้านอาหารจีนที่โรงแรม 5 ดาว แห่งหนึ่งแถวถนนสุขุมวิท
ในปี ค.ศ. 1996 ฉันย้ายไปทำงานร้านอาหารอาหารไทย Salathip ที่โรงแรม Shangri-La Bangkok ซึ่งโรงแรมตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำงานที่นี่ได้ 6 เดือน ฉันก็มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งและย้ายไปร้านอาหารจีน Shang Palace ที่โรงแรมเดียวกัน ฉันมีหน้าที่รับจองโต๊ะอาหาร รับจองงานเลี้ยงเล็กๆที่ลูกค้าไม่เกิน 40 ท่าน, ยิ้มสวยๆต้อนรับลูกค้า (หน้าที่นี้ฉันชอบมากๆ), รับโทรศัพท์ และโทรศัพท์ติดต่อลูกค้า, พาลูกค้าไปนั่งที่โต๊ะ, เตรียมงานต่างๆและจัดพิมพ์เมนูตั้งโต๊ะให้ลูกค้า ฉันได้เรียนรู้มากมายจากการทำงานทุกๆที่ ฉันมีโอกาสได้ชิมอาหารอร่อยๆ ได้เจอกับนักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยและผู้นำระดับประเทศหลายๆท่าน เวลาว่างจากการทำงานฉันก็ไปชิมอาหารตามร้านอาหารต่างในโรงแรม 5 ดาวที่อื่นๆ

พอฉันทำงานที่โรงแรม Shangri-La ได้ประมาณ3ปีครึ่ง ฉันก็เริ่มมองหาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทายกว่านี้ ฉันเริ่มมีความคิดว่าฉันอยากไปทำงานที่ร้านอาหารไทยในต่างประเทศ วันหนึ่งเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน บอกฉันว่า: “เธออยากไปทำงานที่ต่างประเทศใช่ไหม?, นี่ไง” แล้วเพื่อนคนนี้ก็โยนกระดาษเก่าๆที่ถูกตัดจากหนังสือพิมพ์และถูกขยำเป็นก้อนกลมๆ ฉันค่อยๆคลี่มันออกมาอ่าน ฉันจึงพบว่า นี่คือโฆษณาจัดหางานของหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ที่ประกาศหาพนักงานไปทำงานร้านอาหารไทย Blue Elephant ที่กำลังจะเปิดใหม่ที่ประเทศ Malta ซึ่งฉันไม่เคยรู้จักประเทศนี้เลย แต่ฉันก็ส่งจดหมายสมัครงานซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ส่งไปตามที่อยู่ที่ลงไว้ในโฆษณา หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งให้ฉันไปสอบสัมภาษณ์งาน ซึ่งวันนัดก็ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของฉันพอดี ฉันจัดการแต่งตัว เสื้อผ้า หน้าผมให้ฉันดูดีสุดๆและไปตามวันนัด ฉันไปถึงก่อนเวลานัด 30 นาที เพื่อไม่ให้ฉันพะวักพะวง (worry) กับเวลา ก่อนเข้าสอบห้องสัมภาษณ์ฉันจึงเก็บนาฬิกาข้อมือไว้ในกระเป๋า เวลาขณะนั้น 11 โมงเช้า ฉันออกจากห้องเวลาบ่าย 3 โมงเย็น นี่เป็นการสอบสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษที่นานที่สุดในชีวิตของฉัน 4 ชั่วโมงเต็มๆ แต่ในตอนนั้นฉันไม่ได้รู้สึกว่ามันนานเลย ฉันตอบทุกคำถามเป็นความจริงด้วยความมั่นใจ เป็นธรรมชาติ และเป็นตัวของตัวเองที่สุด วันต่อมาฉันก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าฉันได้งานนี้ ฉันดีใจที่สุดเลยค่ะ
ในเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 2000 ฉันเดินทางไปทำงานที่ประเทศ Malta ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆที่สวยงาม มีอากาศที่อบอุ่นถึงร้อนมากๆ ผู้คนเป็นมิตร ฉันเดินทางไปพร้อมๆกับเพื่อนร่วมงานใหม่อีก 6 คน ร้านอาหาร Blue Elephant Malta ตั้งอยู่ในโรงแรม Hilton ขณะนั้นโรงแรมได้เปิดบริการแล้วแต่ร้านอาหารไทยยังไม่ได้เปิดเพราะกำลังตกแต่งภายใน เราก็ต้องเข้ารับการอบรมทุกวันเพื่อเตรียมพร้อมในการทำงานให้ได้ตามมาตรฐานของร้าน Blue Elephant พวกเราอบรมอยู่ประมาณ 1 เดือนร้านก็ได้เวลาเปิดตัว ที่นี่ฉันทำงานหลายหน้าที่เช่น จัดดอกไม้ ขายของที่ระะลึก ดูแลลูกค้า รับจองโต๊ะอาหาร พาลูกค้าไปนั่งที่โต๊ะ คิดเงิน และอื่นๆอีกมากมาย ร้านอาหารใหญ่มาก ถ้าจัดโต๊ะเต็มที่ ร้านจะรับลูกค้าได้ประมาณ 300 ท่าน ฉันเหนื่อยมากๆ ฉันเริ่มมีอาการปวดหลัง ฉันทำงานที่ร้าน Blue Elephant ได้ประมาณ 1 ปี ฉันก็ย้ายไปทำงานในครัวของร้านไทย Siam ซึ่งเป็นร้านเล็กๆของเพื่อนของฉัน มีแค่ 40 ที่นั่ง เปิดเวลา 6 โมงเย็น ถึง 5 ทุ่ม ฉันทำงานที่นี่จนได้พบกับสามีในอนาคต เราคบหาดูใจกัน 6 เดือน แล้วฉันก็ย้ายมาอยู่ที่เมือง Edinburgh จนถึงปัจจุบัน

ตอนแรกที่มาอยู่ Edinburgh ฉันก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 ฉันเรียนไปเรื่อยๆจากหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ง่ายๆ จนเพิ่มเป็นระดับที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ
ในปี ค.ศ. 2007 ฉันก็ทำตามความใฝ่ฝันของฉันที่ฉันอยากเรียนต่อ โดยการเข้าเรียนหลักสูตรปริญญาตรี สาขาจิตวิทยา ที่ มหาวิทยาลัยเอดินบะระ (The University Of Edinburgh) ฉันเครียดมากๆตอนที่ฉันเรียนแต่ก็ท้าทายและสนุกดี ฉันนอนวันละไม่เกิน 4 ชั่วโมงเพราะฉันต้องอ่านหนังสือ เตรียมงานสัมมนา และงานเขียนรายงานการวิจัยต่างๆเยอะแยะไปหมด แต่ฉันก็ได้รับกำลังใจและการช่วยเหลือที่ดีมากๆจากสามี เวลาที่ฉันยุ่งมากๆสามีก็ทำอาหารให้ฉันได้รับประทาน รีดเสื้อผ้าให้ฉันใส่ พาฉันไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ความอดทนและความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็ตามมา ฉันเรียนจบและรับปริญญาในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2011 วันรับปริญญาก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขที่สุด
หลังจากเรียนจบแล้วฉันก็พักผ่อนโดยการทำงานการกุศลอาสาสมัครไปเยี่ยมคนชราตามบ้านพักคนชรา ขณะเดียวกันฉันก็มีโอกาสได้ทำงานล่ามแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ หรือแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย บางครั้งเมื่อฉันพอมีเวลาว่างฉันก็รับงานแปลเอกสาร หลังจากนั้นไม่นานฉันก็เริ่มรับงานไปดูแลคนชราที่อาศัยอยู่บ้านตามลำพัง ฉันทำงานนี้ได้ 1 ปีฉันก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับเอเจนซี่ที่จัดหาพนักงานไปดูแลคนชราที่อาศัยอยู่ที่บ้านพักคนชรา ฉันทำงานกับเอเจนซี่นี้ได้ นานกว่า 2 ปีแล้ว ไดอารี่งานของฉันจะถูกจองล่วงหน้าประมาณ 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือน ฉันรับงานอาทิตย์ละไม่เกิน 3 วัน ฉันจึงมีเวลาไปออกกำลังกาย และได้ไปเที่ยวพักผ่อนทุกๆ 2 เดือน ฉันยังรับงานล่ามบ้างถ้ามีโอกาสเข้ามา ฉันคิดว่าจะทำงานอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ฉันคิดถึงโครงการในอนาคตไว้ว่า ฉันอยากเรียนต่ออีกแต่ตอนนี้ฉันยังไม่รู้ว่าฉันจะเรียนอะไร

คุณพูดภาษา อังกฤษ ได้ไหม คุณคิดว่าภาษา อังกฤษ ยากสำหรับคุณไหมและคุณใช้เวลาเรียนรู้ฝึกฝนนานแค่ไหนกว่าคุณจะพูดภาษาแล้ว เสร็จได้ พูดภาษาอื่นไหม
โดยส่วนตัวแล้วตอนที่ฉันเป็นเด็กนักเรียน ฉันชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษมากค่ะ ฉันจึงไม่รู้สึกว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยาก ฉันเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนอายุ 10 ปี เรียนและฝึกฝนไปเรื่อยๆ ฉันโชคดีมากๆพอฉันอายุได้ 12 ปี ที่โรงเรียนก็มีอาจารย์ Liesl Leach ซึ่งเป็นชาวอเมริกันมาสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่นี่ถึง 2 ปี ฉันตั้งใจเรียนและไม่อายที่จะฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษกับอาจารย์ในเวลาว่าง คุยกับอาจารย์บ่อยๆ ทุกๆวัน พูดผิดพูดถูกบ้างฉันก็ไม่เคยอายเพราะฉันถือว่าฉันฝึกฝนเพื่อการเรียนรู้ หลังจากอาจารย์ชาวอเมริกันกลับประเทศของท่านแล้ว เราก็ยังติดต่อกันทางจดหมายอยู่หลายปี
ฉันคิดว่าตอนที่ฉันอยู่ประเทศไทยและประเทศ Malta ความรู้ด้านภาษาอังกฤษของฉันอยู่ในระดับที่พอใช้ได้แต่ในที่ทำงาน ระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษยังไม่ดีเท่าที่ควร และเวลาฉันพูดก็ไม่เป็นธรรมชาติ ฉันยังไม่เข้าใจตลกที่เป็นภาษาอังกฤษ ฉันจึงพยายามฝึกฝนเช่น ตอนที่ฉันอยู่กรุงเทพเมื่อฉันมีเวลาฉันก็ฟังรายการวิทยุต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อฝึกทักษะการฟัง
ฉันเริ่มเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังตอนฉันย้ายมาอยู่เมือง Edinburgh ฉันใช้เวลาเรียนอย่างเดียวตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 ถึงปี ค.ศ. 2011 ฉันเชื่อว่าชีวิตคือเรียนรู้และการเดินทาง ฉันจึงฝึกฝนทักษะทางภาษาอังกฤษโดยการ อ่านบทความวิจัยต่างๆที่ฉันสนใจ, อ่านหนังสือนิยายที่ฉันชอบ อ่านหนังสือพิมพ์ The Sunday Time, ฟังวิทยุ, ออกไปเจอและพูดคุยกับเพื่อนๆบ้าง ฉันคิดว่าขณะนี้ทักษะทางภาษาอังกฤษของฉันดีกว่าสมัยก่อนมาก ฉันพอเข้าใจตลกเป็นภาษาอังกฤษบ้างแล้ว ฉันมีความมั่นใจในการฟัง การพูด และการอ่าน แต่ฉันยังไม่มีความมั่นใจในการเขียนเลยค่ะ เพราะว่าฉันมัวแต่เรียนภาษาอังกฤษ ฉันจึงพูดภาษาอื่นไม่ได้เลยนอกจากภาษาไทยกับภาษาอังกฤษค่ะ

ในมุมมองของคุณ คุณคิดว่ามันยากไหมสำหรับการที่คนไทยต้องปรับตัวไปใช้ชีวิตแบบคน สก๊อตแลนด์ แล้วถ้ามันยาก มันยากยังไง และอะไรเป็นเรื่องที่ปรับตัวยากที่สุด
เมื่อต้องคุยเรื่องการปรับตัวก็คงต้องคุยกันยาวแล้วล่ะค่ะ โดยทั่วไปแล้วเมื่อทุกคนย้ายถิ่นที่อยู่จากที่เดิมไปอยู่ที่ใหม่ ฉันคิดว่าสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือการปรับตัวที่ไม่มากก็น้อย เพื่อให้เข้ากับความเป็นอยู่, วัฒนธรรม, สังคม, สิ่งแวดล้อม, อาหาร, ครอบครัวใหม่ และอื่นๆอีกมากมาย สำหรับฉันแล้ว ฉันเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน, ชอบสิ่งใหม่ๆที่ท้าทาย, มองโลกในแง่ดีและมองหาโอกาสเมื่อเจอวิกฤต ฉันเลยคิดว่าการปรับตัว และการใช้ชีวิตอยู่ที่ Scotland นั้นฉันรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากแต่ต้องใช้เวลาปรับตัวที่นานพอสมควร และการทำใจยอมรับหรือมองข้ามในสิ่งที่ฉันไม่ชอบหรือไม่สามารถควบคุมมันได้ แค่นี้ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขแล้วค่ะ ซึ่งฉันขอยกตัวอย่างการปรับตัวในการใช้ชีวิตอยู่ที่ Scotland จากประสบการณ์ชีวิตของฉันเองดังนี้ค่ะ
การใช้ชีวิตประจำวัน และ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว หรือความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ซึ่งมีความแตกต่างกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศ Scotland ตัวอย่างเช่น ที่ประเทศไทย โดยทั่วไปครอบครัวอยู่กันแบบใกล้ชิด, ชอบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน, บางครั้งอาจมีการสอบถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากเกินไป, เวลาคิดถึงกันก็เดินทางไปหากันทันทีโดยไม่มีการนัดล่วงหน้า แต่ที่ Scotland ผู้คนที่นี่อยู่กันแบบครอบครัวเล็กๆ ต่างคนต่างอยู่ และชอบใช้ชีวิตแบบสันโดษ, พึ่งพาตนเอง, ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวหรือสอบถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่น อาจมีการไปมาหาสู่กันบ้างแต่ก็ต้องนัดกันล่วงหน้าและควรตรงต่อเวลามากๆ เวลานัดใครไว้ก็ต้องไปตามนัดและไปให้ตรงเวลา เวลาไปทำงานก็ต้องไปให้ตรงเวลาค่ะ ถ้าตอนอยู่ที่ประเทศไทย ใครอยู่ในครอบครัวใหญ่ๆและมีความใกล้ชิดกันมากๆ พอคนนั้นมาอยู่ต่างประเทศก็อาจจะมีอาการเหงามากๆได้ แต่ฉันกลับชอบการใช้ชีวิตแบบสันโดษแบบเรียบง่ายที่ Scotland มากๆ ฉันไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมาย อาจเป็นเพราะว่าตอนฉันอยู่ที่ประเทศไทย ฉันก็ใช้ชีวิตคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ฉันรู้สึกถึงการมีอิสระในการทำกิจกรรมต่างๆโดยไม่ต้องรอหรือขอความคิดเห็นจากใคร เช่นเวลาที่สามีทำงานแต่ฉันอยู่บ้าน และฉันก็อยากไป shopping หรือไปดูหนังฉันก็ออกจากบ้านไปเลย แล้วก็การใช้ชีวิตที่ Scotland ต้องพึ่งพาตัวเองก่อน แต่ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะตอนที่ฉันอยู่ประเทศไทยฉันก็ดูแลและพึ่งพาตัวฉันเองอยู่แล้ว

การปรับตัวเรื่องที่ฉันอยากจะเล่าก็คือเรื่องความเจ็บป่วยและถึงเวลาที่ต้องไปหาคุณหมอ ตอนที่อยู่ประเทศไทยฉันสามารถไปหาคุณหมอโดยไม่ต้องมีการนัดไว้ล่วงหน้าก็ได้ แต่อยู่ที่ Scotland เวลาฉันรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บป่วยในเวลาราชการ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ฉันต้องโทรศัพท์ไปนัดคุณหมอที่คลีนิกใกล้ๆบ้านที่ฉันได้ลงทะเบียนไว้แล้ว พอนัดคุณหมอเรียบร้อยแล้วฉันก็ต้องไปหาคุณหมอตามที่ได้นัดไว้ให้ตรงเวลา ซึ่งคุณหมอจะมีเวลาตรวจและคุยกับฉันแค่ไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น แล้วถ้าคุณหมอวินิจฉัยว่าฉันต้องกินยา คุณหมอก็จะออกใบสั่งยาให้ฉัน แล้วฉันก็นำใบสั่งยานั้นไปรับยาที่ร้านขายยา ถ้าฉันมีอาการป่วยที่หนักๆหรือคุณหมอวินิจฉัยว่าฉันต้องได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง คุณหมอที่คลีนิกก็จะเขียนใบส่งตัวฉันไปโรงพยาบาล แล้วโรงพยาบาลก็จะส่งจดหหมายนัดวันและเวลามาที่บ้านของฉัน แล้วฉันก็ต้องโทรศัพท์ไปยืนยันกับโรงพยาบาลว่าได้รับจดหมายนัดแล้วและฉันก็ยืนยันว่าจะไปโรงพยาบาลตามนัด เวลาที่ฉันรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บป่วยนอกเวลาราชการหรือตรงกับวันเสาร์-วันอาทิตย์ ฉันต้องโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 111 ซึ่งมีพยาบาลคอยรับสายและให้คำปรึกษาคนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าพยาบาลให้คำปรึกษาไม่ได้ พยาบาลจะแจ้งให้คุณหมอที่อยู่เวรโทรทัพท์กลับมาหาฉัน ซึ่งฉันต้องรอรับโทรศัพท์จากคุณหมอนานหลายชั่วโมง แต่ถ้าฉันมีอาการป่วยที่หนักมากๆและไม่สามารถรอได้ เช่นเมื่อกลางคืนของวันเสาร์ในปีค.ศ. 2008 ฉันมีอาการหอบหืดกำเริบและอาการหายใจลำบากมากๆ พยาบาลทที่รับโทรศัพท์ก็แจ้งให้ฉันไปโรงพยาบาลทันที โดยแจ้งหมายเลขตึกซึ่งรับเฉพาะผู้ป่วยนอกเวลาราชการเท่านั้น ฉันได้พบคุณหมอและรับการรักษาในคืนนั้นจนอาการดีขึ้น อย่างที่เล่ามาจะเห็นว่า การที่จะได้หาคุณหมอที่นี่มีกฏระเบียบและขั้นตอนมากมาย เมื่อฉันรู้ขั้นตอนแล้วทุกอย่างก็ไม่ยากและผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ

การปรับตัวเรื่องต่อไปที่ฉันอยากจะพูดถึงคือเรื่องอาหารค่ะ ตอนที่ฉันอยู่ที่ประเทศไทย ฉันชอบแต่อาหารไทย ชอบผักและผลไม้ไทยมากๆ ตอนนั้นฉันไม่ชอบอาหารต่างประเทศเลย พอฉันย้ายมาอยู่ต่างประเทศในช่วงแรกๆฉันก็รับประทานแต่อาหารไทยเป็นส่วนใหญ่ ฉันชอบทำอาหารเองที่บ้านและฉันก็ชอบทำอาหารเลี้ยงเพื่อนๆของฉันรวมทั้งเพื่อนๆของสามีด้วยค่ะ ฉันขอยืนยันว่าฉันซื้ออาหารไทยที่ Scotland แพงมากๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยค่ะ ตัวอย่างเช่น ผักมัดเล็กๆที่ขายที่ตลาดสดที่ประเทศไทย อาจจะขายมัดละ 10 บาท แต่ที่ Scotland ผักมัดนี้ก็จะมีราคาที่แพงมากๆเป็นราคามัดละ 100 ถึง 200 บาทเลยทีเดียว อีกตัวอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะพูดถึงก็คือมะพร้าวอ่อนซึ่งเป็นผลไม้ที่ฉันชอบมากๆตั้งแต่สมัยที่ฉันเป็นเด็ก ตลาดสดที่ประเทศไทยอาจจะขายมะพร้าวอ่อนราคาลูกละ 20 บาท หรือ 3 ลูก ราคา 50 บาท เมื่อมะพร้าวอ่อนมาถึง Scotland ฉันต้องซื้อในราคาลูกละ 150 บาท ฉันชอบรับประทานอาหารอร่อยๆ ฉันจึงทำใจยอมรับที่ฉันต้องซื้ออาหารและผักผลไม้ไทยที่มีราคาแพงที่นี่ ข้อดีของการซื้ออาหารที่มีราคาแพงก็คือฉันได้เรียนรู้การประหยัดโดยการวางแผนการใช้จ่ายค่าอาหาร ซื้ออาหารในจำนวนทีละน้อยๆเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น และไม่มีการทิ้งอาหาร ตอนนี้ฉันก็ชอบรับประทานอาหารท้องถิ่นของ Scotland และอาหารยุโรปบ้าง ที่บ้านที่Scotland ฉันก็ยังคงชอบทำอาหารไทยไว้รับประทานเอง ถ้ามีโอกาสฉันก็ยังทำอาหารเลี้ยงเพื่อนๆบ้าง ฉันทำอาหารยุโรปให้สามี อาหารจานไหนที่ฉันสนใจและอยากจะลองทำฉันก็จะค้นคว้าหาความรู้จากตำราการทำอาหารหรือเป็นหาดูใน internet ค่ะ ฉันออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านกับสามีอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เราก็รับประทานอาหารยุโรปกันค่ะ

สำหรับฉันการปรับตัวที่ยากและลำบากที่สุดก็คือเรื่องของสภาพอากาศที่แตกต่างกันระหว่างประเทศไทยและ Scotland ค่ะ อากาศที่ประเทศไทยค่อนข้างอบอุ่นถึงร้อนมากๆ แต่อากาศที่ Scotland จะหนาวมากๆในฤดูหนาว รวมถึงการที่ไม่ค่อยมีแดดเลยในฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ฉันรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา และฉันก็มีความรู้สึกว่าฉันขี้เกียจตื่นในตอนเช้า เวลาที่ฉันเดินทางออกจากบ้านไปทำงานก็ยังมืดอยู่เลยค่ะ เวลาที่ฉันเลิกงานก็มืดเพราะแดดจะออกช้าเวลาประมาณ 8 – 9 โมงเช้า และเวลาประมาณบ่าย 3 – 4 โมงเย็นก็มืดแล้ว บางวันก็ไม่มีแดดเเลยมีแต่ลมแรงๆ หนาวมากๆ และฝนตกทั้งวัน วันนั้นเป็นวันที่มืดทั้งวัน ตอนที่ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ฉันพยายามตื่นแต่เช้าและออกไปเดินข้างนอกทุกๆวัน เพื่อให้ร่างกายฉันปรับตัวให้เคยชินกับอากาศหนาว เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น, ในฤดูหนาวฉันชอบใส่เสื้อโค้ชที่ออกแบบสวยๆ ใส่เสื้อผ้าหลายๆชั้น ใส่หมวก ถุงมือ ถุงเท้า และรองเท้าบู๊ท ฉันกับสามีไปเที่ยวพักผ่อนในประเทศที่มีอากาศอบบอุ่น 2 อาทิตย์ก็ช่วยทำให้ฉันรู้สึกว่าฤดูหนาวเป็นระยะเวลาที่สั้นๆเองค่ะ

ที่ที่คุณอยู่มีคนไทยอาศัยอยู่เยอะไหม และพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่สบายดีไหม คุณได้คบกับคนไทยที่อาศัยอยู่หรือยังครับ
ที่เมือง Edinburgh และเมืองใกล้เคียงมีคนไทยอยู่มากพอสมควรค่ะ แต่ก็อยู่กันแบบกระจัดกระจายออกไป คนไทยจะมารวมและพบปะกันเยอะหน่อยตอนที่มีงานประจำปี ที่วัดจัดขึ้นในเดือนเมษายนใกล้ๆกับวันสงกรานต์ทุกๆปี นอกจากงานประจำปีแล้วทางวัดก็มีงานบุญต่างๆอยู่บ่อยๆค่ะ กิจกรรมในงานก็มีหลายอย่างเช่น การไหว้พระ สวดมนต์ การแสดงต่างๆของลูกหลานคนไทยที่อยู่ที่นี่ มีอาหารอร่อยๆให้คนที่ไปร่วมงานได้ชิม มีสินค้าและอาหารไทยขายด้วยค่ะ
ตอนที่ไม่มีงานประจำปี คนไทยก็ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของเขาหรือใช้ชีวิตตามปรกติทั่วไป เช่นคนที่มีงานทำก็ไปทำงาน งานที่คนไทยที่อยู่ที่นี่ทำกันส่วนใหญ่ก็ งานร้านอาหารไทย, งานร้านนวดแผนโบราณ, งานทำความสะอาด, งานโรงแรม ส่วนใครที่มีลูกก็เลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน พาลูกออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะบ้าง หรือไปส่งลูกไปโรงเรียนแล้วก็ไปรับลูกกลับจากโรงเรียน คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเลี้ยงลูกเองค่ะ เพราะค่าธรรมเนียมในการจ้างพี่เลี้ยงเด็กแพงมากๆ คนไทยที่ฉันรู้จักทุกคนที่มีลูกจึงเลี้ยงลูกเองแล้วก็ไม่มีเวลาทำงาน
ฉันได้มีโอกาสรู้จักกับคนไทยเยอะพอสมควรในเวลาที่ฉันไปทำงานเป็นล่ามให้กับคนไทยเหล่านั้น แต่ฉันมีเพื่อนคนไทยแค่ 6 คน ที่ฉันได้คบอย่างสนิทสนมเป็นเพื่อนแบบไปมาหาสู่กันที่บ้าน นานๆเราจะได้เจอกัน แต่ละครั้งที่จะได้เจอกันก็ต้องนัดล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ เพราะแต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง บางคนก็ยุ่งกับการทำงาน การดูแลบ้าน การจัดหาและเตรียมอาหาร บางคนก็ยุ่งกับการเลี้ยงลูก และอื่นๆ ชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่หลักๆก็คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นี่หมายถึงการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่, ตรงต่อเวลา และต้องบริหารจัดการเวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์สูงสุด รวมทั้งควรใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์หมั่นเรียนรู้ศึกษาพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าค่าครองชีพที่นี่ก็ค่อนข้างสูงมาก ถ้าใครไม่อยากลำบากก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด คนที่อยู่ที่นี่จึงต้องช่วยเหลือตัวเองและทำทุกอย่างเองค่ะ

อะไรที่คน สก๊อตแลนด์ ชอบ และคุณบอกผมได้ไหมว่าผู้ชาย สก๊อตแลนด์ เป็นอย่างไร ผู้หญิง สก๊อตแลนด์ เป็นอย่างไร และครอบครัวของคน สก๊อตแลนด์ เป็นอย่างไร
ในความคิดเห็นส่วนตัวฉันคิดว่าคนที่นี่โดยทั่วไป ส่วนใหญ่พวกเขาชอบสันโดษ อยู่ด้วยกันแบบครอบครัวเล็กๆที่มีพ่อแม่และลูกเท่านั้น พอลูกๆโตขึ้นอายุประมาณ 18 ปีและเข้าเรียนมหาวิทยาลัยลูกๆก็ย้ายออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอย่างอิสระของพวกเขาต่อไป ถ้าลูกๆใครไม่เรียนต่อก็จะไปหางานทำ เก็บเงินสักก้อนเพื่อที่จะได้ไปเช่าบ้านอยู่อย่างส่วนตัวและมีอิสระต่อไป คนที่นี่ต่างคนต่างอยู่ นานๆจะเดินทางไปมาหาสู่พ่อแม่และญาติๆสักครั้ง คนที่นี่ก็ไม่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น แต่พวกเขาก็มีความเป็นมิตร สุภาพและใจดี เวลาที่ใครขอความช่วยเหลือถ้าพวกเขาพอที่จะช่วยเหลือได้เขาก็ช่วย ตัวอย่างเช่นตอนฉันมาอยู่ที่นี่ช่วงแรกๆ ทุกครั้งที่ฉันเดินหลงทาง ฉันขอความช่วยเหลือและถามหาทางกับใครทุกๆคนก็ช่วยเหลือฉันด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงมิตรภาพ ฉันจึงมีความรู้สึกปลอดภัยเวลาฉันเดินไปตามสถานที่ต่างๆ เวลาที่ฉันยิ้มให้คนอื่นคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็ยิ้มตอบ

นอกจากนั้น คนที่นี่ยังให้ความสำคัญกับการตรงต่อเวลาและรักษากฏระเบียบต่างๆ เช่นปฏิบัติตามกฏจราจรเวลาขับรถและใช้รถใช้ถนน ผู้คนที่นี่เข้าแถวรอขึ้นรถเมล์ และเข้าแถวรอใช้บริการอื่นๆ เวลาที่พวกเขาทำงานก็คือทำงาน เวลาพักผ่อนท่องเที่ยวก็คือการได้เดินทางไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ช่วงคืนวันศุกร์และวันเสาร์คนที่นี่ชอบออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆตามร้านอาหาร, ไนท์คลับ หรือสถานบันเทิงอื่นๆ ส่วนวันอาทิตย์พวกเขาก็อยู่บ้านกับครอบครัว Scotland เป็นประเทศที่ผลิตวิสกี้ที่มีคุณภาพชั้นดีเยี่ยมและก็ส่งออกไปขายต่างประเทศทั่วโลก เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนที่นี่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะชอบดื่มและพบปะสังสรรค์
ฉันคิดว่าที่ Scotland ก็เหมือนๆกับประเทศอื่นๆที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ส่วนใครจะได้พบเจอกับคนประเภทไหนก็สุดแล้วแต่บุญและกรรมของใครคนนั้นล่ะค่ะ ส่วนครอบครัวของคนที่นี่ก็เหมือนกันทั่วไปที่บางทีก็มีปัญหากันบ้าง แต่งงานแล้วก็มีการหย่าร้างบ้าง บางครั้งก็มีการทะเลาะกันถึงขั้นรุนแรงลงไม้ลงมือกันก็มี ผู้ชายหรือผู้หญิงต้องเลี้ยงลูกตามลำพังก็มีบ้าง คนยากจนคนจรจัดและคนขอทานก็มีบ้าง ผู้ชายที่นี่ส่วนใหญ่เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะมีครอบครัวแล้ว พวกเขาก็มีความรับผิดชอบสูงมาก ผู้หญิงที่นี่ทำงานหาเงินมาได้ก็ช่วยค่าใช้จ่ายภายในบ้านคนละครึ่งกับผู้ชาย เพราะว่าค่าครองชีพสูงมากๆ ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่จึงวางแผนการใช้จ่ายอย่างประหยัดและระมัดระวัง การอยู่ด้วยกันในครอบครัวคนที่นี่จะแบ่งหน้าที่กันในการทำงานบ้านต่างๆ ถ้ามีลูกก็ช่วยกันเลี้ยงลูกโดยพวกเขาจะแบ่งหน้าที่กันไปเลยว่าใครเป็นคนไปส่งลูกแล้วก็ใครเป็นคนไปรับลูก ใครเป็นคนพาลูกไปนอน ใครเป็นคนปลุกลูกตอนเช้าและเตรียมอาหารเช้า และอื่นๆ ถ้าใครทำอาหาร อีกฝ่ายก็ต้องเก็บล้างจานชาม ผู้หญิงที่นี่คงไม่ชอบที่จะเป็นฝ่ายทำงานบ้านแต่เพียงผู้เดียวหรอกค่ะ

ค่าครองชีพที่ สก๊อตแลนด์ เป็นอย่างไร อะไรที่คุณคิดว่ามันแพงเกินไป (3 things) และอะไรที่คุณคิดว่ามันมีคุณค่าเหมาะสมกับราคา (3 things)
การใช้ชีวิตอยู่ที่ Scotland ฉันคิดว่าก็คล้ายๆกับประเทศอื่นๆในยุโรปที่มีค่าใช้จ่ายมากมาย ตัวอย่างเช่น รายจ่ายค่าภาษีรายได้กับค่าประกันสังคมที่จะถูกหัก ณ ที่จ่าย, รายจ่ายค่าผ่อน/เช่าบ้านหรือที่อยู่อาศัยอื่นๆ, ค่าภาษีเทศบาลท้องถิ่น, ค่าใบอนุญาตทีวีซึ่งทุกบ้านที่มีทีวีต้องจ่ายตามกฎหมาย, ค่าแก๊ส, ค่าไฟฟ้า, ค่าอาหาร, ค่าเสื้อผ้า, ค่าเดินทาง, ค่าประกันต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่ฉันไม่อยากกล่าวถึงค่ะ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้บางอย่างก็แพงมากและบางอย่างก็มีราคาที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนบุคคลค่ะ สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าค่าใช้จ่ายที่แพงมากๆที่ Scotland ก็มีดังนี้ค่ะ
1. ค่าภาษีรายได้ซึ่งจะเริ่มจากอัตราขั้นต่ำสุดอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ และอัตราภาษีรายได้นี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามลำดับของรายได้ที่สูงขึ้นเรื่อยๆเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ และ อัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 45 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ซึ่งอัตราภาษีเหล่านี้ยังไม่รวมอัตราค่าประกันสังคม 12 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่หัก ณ ที่จ่ายพร้อมกันกับอัตราภาษีรายได้ด้วยค่ะ
2. ค่าผ่อน/เช่าบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ Scotland ฉันก็คิดว่าแพงมากๆค่ะ โดยเฉพาะบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีหรืออยู่ในเมือง โดยทุกๆเดือน ผู้คนที่นี่ต้องจ่ายค่าผ่อน/เช่าบ้านหรือที่อยู่อาศัย ประมาณ 30 – 40 เปอร์เซ็นต์ของรายได้เลยค่ะ
3. ราคาผักและผลไม้สดที่นำเข้ามาจากประเทศไทยฉันก็คิดว่าแพงมากๆค่ะ ตัวอย่างเช่นเงาะขายที่ประเทศไทยราคากิโลกรัมละ 30 – 40 บาท แต่พอนำเข้ามาที่นี่ฉันต้องจ่ายแพงถึงราคากิโลกรัมละ 250 – 300 บาทค่ะ

ส่วนค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงมากหรือมีราคาที่เหมาะสมฉันคิดว่ามีตัวอย่างดังนี้ค่ะ
1. เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ซึ่งของใช้เหล่านี้ฉันคิดว่าราคาเหมาะสมหรือราคาถูกมากๆ โดยเฉพาะเวลาที่สิ่งของเหล่านี้ลดราคา 50 – 75 เปอร์เซ็นต์ ฉันก็รอซื้อของเหล่านี้ตอนที่ราคาลดสุดๆค่ะ
2. ราคารถยนต์ที่ผลิตในยุโรปก็มีราคาที่เหมาะสม ซึ่งฉันขอยกตัวอย่าง รถ Land Rover รุ่น Range Rover Evoque ที่ Scotland ขายราคารถใหม่ เริ่มต้นที่ประมาณ 1.33 ล้านบาท แต่เมื่อรถรุ่นเดียวกันนำเข้าประเทศไทยแล้วจะขายราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3.99 ล้านบาท
3. เครื่องดื่มจำพวก ไวน์ แชมเปญและวิสกี้ ขายที่ Scotland ก็มีราคาไม่แพงค่ะ ยิ่งน้ำดื่มนี่ฟรีค่ะ คนที่นี่เปิดน้ำก๊อกที่บ้านดื่มได้เลยค่ะ

บอกข้อดี 3 ข้อของการใช้ชีวิตอยู่ใน สก๊อตแลนด์ ตามความคิดเห็นของคุณ – บอกข้อเสีย 3 ข้อของการใช้ชีวิตอยู่ใน สก๊อตแลนด์ครับ
การใช้ชีวิตนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป นั่นหมายถึงไม่มีที่ไหนที่มีการใช้ชีวิตที่ดีเลิศ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ไม่มีการใช้ชีวิตที่ไหนที่แย่สุดๆ 100 เปอร์เซ็นต์หรอกค่ะ ฉันเชื่อว่าถ้าฉันมองหาแต่สิ่งดีๆ ฉันก็จะได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ และชีวิตของฉันก็จะมีแต่ความสุขค่ะ ในความคิดเห็นส่วนตัว ฉันคิดว่าข้อดีของการใช้ชีวิตที่ Scotland มีดังนี้ค่ะ
1. บรรยากาศที่นี่ดีมากๆค่ะ บ้านเมืองโดยทั่วไปก็สวยงาม อากาศก็ดี เพราะที่นี่มีการวางผังเมืองที่ค่อนข้างดี สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ไม่แออัด ในเมืองก็มีสวนสาธารณะให้ฉันได้ไปเดินเล่นมากมาย Scotland มีธรรมชาติที่สวยงามสำหรับคนที่ชอบบรรยากาศแบบธรรมชาติ เพียงแค่เดินทางออกไปนอกเมืองไม่ไกลมาก ก็จะมีภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ แล้วก็มีสัตว์ป่าต่างๆ เช่น กวางป่า, นกกระสาคอยาว, นกอินทรี, นกเป็ดน้ำ, กระรอก, กระต่ายป่า และสัตว์ป่าอื่นๆอีกมากมาย เวลาว่างฉันชอบออกไปชื่นชมธรรมชาติ โดยการเดินป่า เดินเขา ซึ่งเป็นที่เงียบสงบ ฉันมีความสุขมากๆเวลาฉันเห็นสัตว์ป่าและธรรมชาติที่นี่ค่ะ ที่ Scotland มีกฏหมายคุ้มครองสัตว์ป่าต่างๆ ประชาชนที่นี่ ส่วนใหญ่เคารพและปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด เช่น ถ้าใครอยากตกปลาก็ต้องมีใบอนุญาต ถ้าใครอยากล่ากวางป่าก็ต้องมีใบอนุญาต และต้องล่ากวางแค่ระยะเวลาที่กฏหมายกำหนดเท่านั้น ด้วยเหตุนี่เอง Scotland จึงยังคงมีสัตว์ป่าและธรรมชาติที่สวยงามค่ะ
2. สวัสดิการของประชาชนที่นี่ถือว่าค่อนข้างดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สวัสดิการการรักษาพยาบาล, สวัสดิการด้านการศึกษา นอกจากนี้ประชาชนยังเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆใน Scotland โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเลยค่ะ
3. การเดินทางและการใช้รถใช้ถนนที่ Scotland มีความสะดวกพอสมควร คนขับรถส่วนใหญ่เคารพกฏจราจร เวลาที่มีคนยืนรอข้ามถนนที่ทางม้าลายรถยนต์จะจอดให้คนข้ามถนนเสมอ บนรถโดยสารประจำทางมีพื้นที่จอดรถเข็นสำหรับคนพิการและก็มีอีกพื้นที่สำหรับรถเข็นเด็ก เวลามีผู้สูงอายุและเดินช้าๆขึ้นรถมา คนขับรถก็จะรอจนกว่าคนสูงอายุคนนั้นนั่งเรียบร้อยก่อนจึงออกรถ ทางเดินตามถนนก็เรียบไม่มีหลุม ไม่มีสิ่งกีดขวาง

เมื่อกล่าวถึงข้อดีในการใช้ชีวิตที่ Scotland แล้ว ฉันจะเล่าถึงข้อเสียของการใช้ชีวิตที่นี่บ้างค่ะ ซึ่งฉันขอแยกออกเป็นหัวข้อเล็กๆดังนี้ค่ะ
1. เวลาฤดูหนาว บางวันไม่มีแดดเลย อากาศก็ที่นี่หนาวมากๆ บางวันก็มีลมแรงมากๆ รวมไปถึงเวลาที่มีฝนตกหนักด้วย ฤดูหนาวของบางปี หิมะตกเยอะ ก็ทำให้อุณหภูมิลดลงถึงขั้นติดลบถึงตอนนี้ฉันก็จะรู้สึกหนาวสุดๆ หนาวเกินคำบรรยายค่ะ
2. ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือค่าครองชีพที่สูงมาก จึงส่งผลให้ค่าแรงงานสูงเช่นกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่ฉันต้องซ่อมแซมที่อยู่อาศัย เช่นทาสี ซ่อมเครื่องทำความร้อนในบ้าน ซ่อมระบบไฟฟ้า และอื่นๆ ฉันจึงต้องจ่ายค่าแรงให้ช่างเหล่านี้แพงมากๆค่ะ
3. อยู่ที่ Scotland ไม่ว่าฉันจะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานแค่ไหน เวลาที่ฉันกลับถึงบ้าน ฉันต้องทำอาหารทานเองแทบทุกวัน เพราะที่นี่ไม่มีร้านขายอาหารราคาย่อมเยาแบบที่เมืองไทย ฉันคิดถึงเมืองไทยมากก็ตอนนี้ละค่ะ คิดถึงความสะดวกสะบายในการหาซื้ออาหารอร่อยๆนี่ล่ะค่ะ

อะไรคือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยและคนสก๊อตแลนด์ในเรื่องของความโรแมนติก
ปัญหาที่ฉันเห็นเกิดขึ้นกับคนไทยที่ฉันรู้จักและแต่งงานกับคน Scotland มีทั้งปัญหาเล็กๆน้อยๆ และปัญหาที่เป็นสาเหตุของการหย่าร้าง ซึ่งในที่นี้ฉันขอยกตัวอย่างปัญหาที่ฉันคิดว่าเป็นปัญหาที่สำคัญเพราะถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอาจทำให้ชีวิตคู่จบลงด้วยการแยกทางก็ได้
ปัญหาแรกคือความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมการสื่อสาร ซึ่งคนที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นคนไทยที่มาอยู่ที่นี่ต้องเรียนและฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษให้ดี จึงจะสามารถสื่อสารพูดคุยกับคนที่นี่ได้อย่างเต็มที่ คนที่นี่ส่วนใหญ่เวลาไม่พอใจอะไรก็จะพูดคุยหาทางแก้ปัญหาและเคลียร์กันให้เข้าใจแล้วก็จบเป็นเรื่องๆ ส่วนคนไทยส่วนใหญ่ จะไม่พูดเวลาไม่พอใจหรือโกรธใคร และจะเก็บความไม่พอใจไว้เงียบๆคนเดียว นานๆไปก็เกิดความเครียดสะสม แทนที่จะคุยกันดีๆกลับด่าทอ คนที่นี่ บางทีก็เกิดความรุนแรงและทำร้ายตบตีกันในครอบครัว แล้วก็จบลงด้วยการหย่าร้างในที่สุดค่ะ
อีกปัญหาที่ฉันคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ก็คือ ปัญหาความแตกต่างด้านวัฒณธรรมของครอบครัว โดยทั่วไปคนไทยอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ลูก หลาน ลุง ป้า น้า อา และญาติห่างๆ ที่หวังและรอเงินจากคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ แต่คนที่นี่ ครอบครัวที่ต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน มีแค่สามี ภรรยา และลูกๆที่ยังไม่ย้ายออกจากบ้านเท่านั้น ส่วนใหญ่คนที่นี่จึงไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยจึงส่งเงินไปให้ญาติที่เมืองไทย ฉันเห็นคู่รักบางคู่ที่ทะเลาะกันเรื่องนี้อยู่หลายปีแล้วก็หย่าร้างกันในที่สุดค่ะ
คุณยังมีครอบครัวที่ยังคงอาศัยอยู่ที่เมืองไทยหรือไม่ ถ้ามี….คุณคิดถึงครอบครัวของคุณมากไหมและคุณคิดถึงเมืองไทยหรือเปล่าและสถานที่ไหนในประเทศไทยที่คุณชอบไปเที่ยวมาก
ครอบครัวของฉันยังใช้ชีวิตที่เมืองไทยกันทุกคนค่ะ ซึ่งมีคุณพ่อท่านอายุ 80 กว่าๆใกล้จะ 90 ปีแล้ว คุณพ่ออยู่กับพี่สาวของฉัน หลังจากที่คุณแม่เสียชีวิต พี่สาวก็รับคุณพ่อมาอยู่ด้วยกันได้ประมาณ 14 ปีแล้วค่ะ ฉันรู้สึกโชคดีที่มีพี่สาวดูแลคุณพ่อที่เมืองไทยเป็นอย่างดี ซึ่งทำให้ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลคุณพ่อมาก นอกจากนี้ที่เมืองไทยฉันยังมีพี่ชายอีก 3 คน พวกเขาอาศัยอยู่กับครอบครัวของเขาที่ต่างจังหวัด
ฉันคิดถึงคุณพ่อของฉันมากที่สุดค่ะ แต่ทุกวันนี้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ ราคาถูก และสะดวกมากกว่าสมัยก่อนเมื่อ 15 – 16 ปีที่แล้ว ตอนนี้ถ้าฉันคิดถึงใครฉันก็จะโทรศัพท์ไปคุยด้วย เมืองไทยเป็นบ้านเกิดของฉัน ฉันก็คิดถึงเมืองไทยบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉันคิดถึงเพื่อนๆที่เมืองไทย แล้วก็คิดถึงผัก, ผลไม้ต่างๆ และร้านอาหารไทยอร่อยๆที่ฉันเคยไป ตอนที่ฉันอยู่กรุงเทพ
เวลาที่ฉันกลับไปเที่ยวเมืองไทย ฉันชอบไปเยี่ยมคุณพ่อ ฉันมีความสุขที่ได้ทำอาหารให้คุณพ่อรับประทาน ฉันดีใจที่ได้คุยกับพี่สาว พี่ชาย และหลานๆ หลังจากใช้เวลาอยู่กับครอบครัวแล้ว ฉันก็เดินทางต่อไปจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อไปหาเพื่อนๆที่คบกันมานานมากกว่า 20 ปี การได้ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนๆ มันเป็นความอบอุ่นและความสุขที่เกินกว่าที่ฉันจะบรรยายได้
สถานที่ท่องเที่ยวที่เมืองไทยที่ฉันชอบก็มีมากมายกล่าวคือ วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดอรุณ และวัดอื่นๆตามต่างจังหวัดที่เพื่อนๆพาฉันไปค่ะ สถานที่ต่างๆฉันชอบส่วนใหญ่ก็เป็นที่ที่ฉันมีความทรงจำที่ดีๆ เช่นที่บางแสน เป็นที่ที่ฉันได้เห็นทะเลครั้งแรก ฉันจำได้ว่าฉันนั่งดูทะเลที่บางแสนอยู่หลายชั่วโมงเลยทีเดียว ในเวลาต่อมาฉันก็ได้ไปเที่ยวทะเลอีกหลายแห่งเช่น จังหวัดตรัง, กระบี่, เกาะเสม็ด, เกาะสมุย, หัวหิน, พัทยา, ชะอำ และเกาะหมากที่จังหวัดตราดค่ะ

คุณเคยรู้สึกไม่ปลอดภัยบ้างไหมขณะที่คุณอาศัยอยู่ในเอดินเบิร์ก / สก๊อตแลนด์ ครับ
ฉันคิดว่าอยู่ที่ไหนเราก็ต้องคอยระวังตัวและดูแลความปลอดภัยของตัวเองเสมอ นั่นหมายถึงการบริหารและการจัดการลดความเสี่ยงค่ะ เช่น การไม่ออกไปที่มืดๆ เปลี่ยวๆคนเดียว, เวลาออกไปข้างนอกก็ไม่ควรพกเงินสดติดตัวมากเกินความจำเป็น แล้วก็ไม่ใส่เครื่องประดับราคาแพงๆเพราะนั่นคือการล่อตาล่อใจและเป็นจุดสนใจของโจร ฉันอยู่ Edinburgh ฉันรู้สึกปลอดภัยดีค่ะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ฉันไม่เคยมีวันไหนที่ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยค่ะ

สถานที่ไหนในสก็อตแลนด์ ที่คุณชอบไปเที่ยวมาก – สก็อตแลนด์สสวยไหมครับ
ในความคิดเห็นส่วนตัว ฉันคิดว่า Scotland สวยมากค่ะ โดยเฉพาะเวลาที่ฉันออกนอกเมืองไปทางตอนเหนือฝั่งตะวันตกของ Scotland ซึ่งมีเกาะเล็กๆ เกาะใหญ่ๆ เยอะแยะเช่น เกาะ Orkney, เกาะ St. Kilda, เกาะ Outer Hebrides และเกาะอื่นๆ
ส่วนพื้นที่อื่นๆที่ฉันคิดว่าสวยก็มีอีกเยอะที่ฉันชอบเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนเดินป่าเดินเขาเช่น Glencoe, Oban, Plockton, และก็ Gairloch
บริเวณชนบทตอนเหนือของ Scotland ยังเป็นธรรมชาติ และสงบมากค่ะ เวลาที่ฉันไปพักผ่อนฉันชอบไปหาดูสัตว์ป่าต่างๆที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติเช่น กวางป่า, นกกระสา, นกเป็ดน้ำ, กระต่ายป่า และอื่นๆ ฉันชอบธรรมชาติมากค่ะ ฉันมีความสุขเวลาไปท่องเที่ยวสถานที่เหล่านี้
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ตอนเหนือของ Scotland คือ ช่วงกลางเดือนเมษายนและช่วงต้นเดือนมิถุนายน แล้วก็อีกช่วงหนึ่งก็คือเดือนตุลาคม ส่วนช่วงหน้าร้อนนักท่องเที่ยวเยอะและในชนบทจะมีตัวเหลือบม้าและแมลง Midges ที่ดูดเลือดคนและสัตว์ต่างๆ สร้างความรำคาญให้กับนักท่องเที่ยวมากๆ เป็นช่วงเวลาไม่สะดวกในการเดินป่าค่ะ

อะไรคือสิ่งที่คุณรัก และอะไรคือสิ่งที่คุณชอบทำในยามว่างของคุณ
สิ่งที่ฉันรักและให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆก็คือ การที่ฉันได้มีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตต่างๆ ฉันหมายถึงอิสระในการคิด, การตัดสินใจ, การใช้ชีวิตทั่วๆไป และการเดินทางท่องเที่ยวค่ะ
ถ้าฉันมีเวลาว่างเป็นระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 4 – 5 วัน ฉันก็จะไปท่องเที่ยวพักผ่อนกันทางตอนเหนือของ Scotland เพื่อเดินป่า เดินเขา ส่องหาสัตว์ป่าต่างๆ แต่ถ้าฉันมีเวลาว่างแค่ 1 – 2 วัน ฉันชอบไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ Princes Street Garden ซึ่งสวนนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Edinburgh แล้วก็มี Edinburgh Castle เป็นจุดเด่น ซึ่งเป็นปราสาทที่เก่าแก่ถูกสร้างขึ้นบนหินภูเขาไฟ (ที่ดับไปแล้ว) ฉันชอบไปเดินเล่นที่นี่มากๆค่ะ
ถ้าฉันมีเวลาว่างประมาณ 1 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น ฉันกับสามีก็จะพากันเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างประเทศใกล้ๆ Scotland แถบยุโรปที่ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินไม่เกิน 4 ชั่วโมง พวกเราจะวางแผนการท่องเที่ยวพักผ่อนไว้ตั้งแต่ต้นปีค่ะ ส่วนใหญ่พวกเราจะไปท่องเที่ยวที่ใหม่ๆ ที่พวกเราไม่เคยไปกันค่ะ
แต่ก็มีบางเวลาที่ฉันว่างแล้วก็รู้สึกว่าอยากอยู่ที่บ้าน ฉันจะทำอาหารอร่อยๆรับประทาน บางทีก็ชวนเพื่อนๆ มารับประทานอาหารด้วยกัน คุยกันสนุกสนาน เวลาอยู่ที่บ้าน นอกจากที่ฉันชอบทำอาหารแล้ว ฉันยังชอบอ่านหนังสือนิยายฆาตกรรมสอบสวนสืบสวน, นิตยสาร New Scientists, และหนังสือพิมพ์ The Sunday Times บางทีฉันก็ฟังพระธรรมเทศนาใน Youtube, ฉันสวดมนต์และนั่งสมาธิบ้างค่ะ เวลาที่คิดถึงเมืองไทย บางวันฉันก็โทรศัพท์ไปที่เมืองไทยเพื่อคุยกับ พ่อ, พี่สาว, พี่ชาย และเพื่อนๆที่เมืองไทย นอกจากนี้ฉันยังชอบออกกำลังกายโดยการว่ายน้ำและเล่นโยคะค่ะ

ผู้หญิงไทยบางคนคิดว่าการย้ายมาอยู่ ยุโรป / สก๊อตแลนด์ จะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น คุณมีคำแนะนำที่จะบอกผู้หญิงไทยที่คิดแบบนี้อย่างไร และคุณมีคำแนะนำอะไรที่จะแนะนำให้พวกเขาต้องระมัดระวังบ้างไหม
ผู้หญิงไทยบางคนที่คิดว่าการย้ายมาอยู่ ยุโรป / Scotland แล้วทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ฉันอยากจะบอกว่านี่เป็นค่านิยมทางความเชื่อที่ยังไม่ถูกต้องเท่าไหร่ ฉันอยากจะบอกว่าผู้คนที่นี่เขาก็ต้องทำงาน ทำมาหากิน หาเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์และอื่นๆเหมือนอยู่เมืองไทยนั่นแหละค่ะ อยู่ที่นี่ก็มีปัญหาวัยรุ่นตั้งท้อง ปัญหาคนตกงาน ปัญหาคนเร่ร่อน คนไม่มีบ้านอยู่ มีคนจน มีคนรวย เหมือนประเทศไทยและประเทศอื่นๆนั่นล่ะค่ะ อยู่ที่นี่ฉันเห็นคนไทยที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานนับ 10 ปีขึ้นไป บางคนก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ดี, บางคนก็มีธุรกิจร้านอาหารไทย หรือร้านนวดไทยแผนโบราณ พวกเขาเหล่านี้ต้องทำงานอย่างหนัก อดทน ประหยัด และใช้ชีวิตที่ห่างไกลจากอบายมุข เช่นการพนัน ในขณะเดียวกันฉันก็เห็นคนไทยที่อยู่ที่นี่เจอปัญหามากมายเช่น ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดนทำร้ายร่างกายและจิตใจ ผู้หญิงบางคนอาศัยอยู่ที่นี่หลายปีและในบั้นปลายของชีวิตต้องเผชิญกับปัญหาการหย่าร้าง ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีเงิน เธอเหล่านั้นรู้สึกอับอายขายหน้า จึงไม่อยากบอกให้ญาติๆที่เมืองไทยได้รับรู้ จึงต้องอยู่คนเดียวในบ้านพักช่วยเหลือจากรัฐบาล

ฉันอยากจะบอกผู้หญิงไทยที่ตอนนี้ยังอยู่ที่เมืองไทยและกำลังคบหาดูใจกันกับชาวต่างชาติว่า ขอให้คุณมีความรักอย่างมีสติ หรืออีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบพูดกับเพื่อนๆเสมอว่า “รักอย่างมีสมอง” ค่ะ อันนี้ฉันหมายถึงให้คุณรักตัวเองให้มากๆ ขอให้คุณมีความสุขได้ด้วยตัวเองก่อน มองโลกแห่งความเป็นจริงเป็นพื้นฐาน ถามตัวคุณเองหลายๆคำถาม แล้วก็คิดวิเคราะห์คำตอบ เช่นผู้ชายคนนี้คือคนที่ใช่หรือไม่, ถ้าใช่เพราะอะไร, เวลาอยู่ด้วยกันแล้วคุณเป็นตัวของตัวเองหรือไม่, คุณอยากหัวเราะดังๆ อ้าปากกว้างๆคุณทำได้ไหม, ผู้ชายคนนี้ยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของคุณได้ไหม, คุณใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆแล้วรู้สึกอึดอัดไหม, คุณยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้ไหม (อันนี้ต้องระวังบางทีก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันหลายปีกว่าจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา), ผู้ชายคนนี้ให้เกียรติและยกย่องคุณไหม, ผู้ชายคนนี้ฟังความคิดเห็นของคุณไหม, ผู้ชายคนนี้ปรับตัวเข้าหาคุณไหม, คุณรักผู้ชายคนนี้ไหมแล้วเขาล่ะรักคุณและปกป้องดูแลคุณไหม ที่ฉันอยากให้คุณๆตั้งคำถามมากมายเพื่อถามตัวคุณเองก็เพราะว่า ฉันอยากให้คุณๆได้ใช้เวลาศึกษาดูใจกันให้ดีๆ ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากแนะนำให้คุณมาเที่ยวบ้านของผู้ชายก่อน ลองมาใช้ชีวิตด้วยกันที่ต่างประเทศก่อน และขอให้คุณเลือกให้ดีๆก่อนที่จะตกลงแต่งงาน
ถ้าผู้หญิงไทยคนไหนที่ตอนนี้ได้มาแต่งงานและอยู่ที่ Scotland / ยุโรปแล้ว ฉันก็ขอให้คุณดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเพราะว่าบางทีเมื่อคุณมาอยู่ต่างประเทศจริงๆแล้ว อะไรๆอาจไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวังไว้ ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณให้ดีๆโดยการออกกำลังกาย เดินเล่นชมสวนสาธารณะและสถานที่ต่างๆ ออกไปหาเพื่อนๆบ้าง (คบแต่เพื่อนที่ดีๆ คบแล้วสบายใจ) ขอให้คุณรู้จักและมีความรับผิดชอบในหน้าที่ การดูแลสามี, บ้าน และลูกๆ (ถ้ามี) คือหน้าที่ที่สำคัญที่สุด เพราะสามีและลูกๆคือคนในครอบครัวของคุณ เวลาที่มีอะไรที่ไม่เข้าใจกันก็ขอให้คุยกันแบบผู้ใหญ่ ขอให้พูดจากันดีๆด้วยเหตุด้วยผล ถ้าหาข้อสรุปและตกลงกันไม่ได้ก็ขอให้พบกันครึ่งทาง และเมื่อเคลียร์ปัญหานั้นๆไปแล้วก็ขอให้จบๆไป อย่าได้ขุดคุ้ย ปัญหาเดิมๆหรือเรื่องเก่าๆให้มาทะเลาะกันอีกเลย คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพื่อพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ถ้าภาษาท้องถิ่นยังไม่ดีพอก็ไปเรียนเพิ่ม ถ้าความรู้ทางภาษาท้องถิ่นพอใช้ได้แล้วและคุณมีเวลาว่างพอ ก็ควรหางานทำไม่มากก็น้อย เพื่อคุณจะได้ดูแลตัวเองได้ โดยไม่ต้องหวังพึ่งหรือรอแต่ขอเงินจากสามีค่ะ

ในขณะเดียวกัน ถ้าตอนนี้มีคนไทยที่กำลังอาศัยอยู่ที่ Scotland และขณะนี้กำลังเผชิญกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เช่นการโดนทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ฉันขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ฉันอยากแนะนำว่าอันดับแรกให้คุณพยายามตั้งสติ รวบรวมหลักฐานเช่นถ่ายภาพแผลฟกช้ำที่โดนทำร้ายเก็บไว้ ไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกาย คุณสามารถไปปรึกษา Shakti Women’s Aid (ชักตี้วีเมนเอด) Tel: 0131 4752399 หรือ info@shaktiedinburgh.co.uk ซึ่งเป็นหน่วยงานการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือผู้หญิงที่มีความแตกต่างทางภาษาและเชื้อชาติที่ประสบกับปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว
เมื่อคุณถูกทำร้ายหรือถูกทำทารุณกรรมทางร่างกาย หรือจิตใจและคุณมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน คุณสามารถแจ้งตำรวจได้ที่สถานีตำรวจ หรือโทรแจ้งความได้ที่ หมายเลข 101 หรือหากเป็นเหตุด่วนเหตุร้ายและฉุกเฉิน คุณสามารถติดต่อหมายเลข 999 ถ้าคุณไม่สามารถหรือไม่ค่อยมีความมั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจัดหาล่ามแปลภาษาเพื่อช่วยคุณในการแจ้งความได้ค่ะ
โปรดลงทะเบียนเพื่อรับThai Women Living Abroad ข่าวสารใหม่อย่างต่อเนื่อง

The best story.
LikeLiked by 1 person